การขัดแย้งกันยกใหม่เรื่องหนี้สินและการละเมิดสัญญาว่าจ้างทำให้วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ในอังกฤษวิตกว่า ศึกภายในเน็กซ์พีเรีย (Nexperia) บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปต้นทุนต่ำสัญชาติจีนคงไม่จบง่าย ๆ และความเสี่ยงที่จะเกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกยังคงมีสูง
ชิปของเน็กซ์พีเรียมีความสำคัญกับผู้ผลิตรถยนต์ เนื่องจากนำมาใช้ในส่วนประกอบต่างๆ เช่น ที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้ารถ และระบบควบคุมการเปิด-ปิดกระจกรถ
ผลการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้เมื่อวันพฤหัสบดี ( 30 ต.ค.) ทำให้ค่ายผลิตรถยนต์ในอังกฤษเบาใจได้ไม่นาน แต่แล้วก็ต้องมาตั้งวอร์รูมติดตาม “สงครามกลางเมือง” อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินโอกาสที่จะเกิดการขาดแคลนชิป ทั้งวอกซ์ฮอลล์ ( Vauxhall ) เจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์ข้ามชาติสเตลแลนทิส ( Stellantis ) บีเอ็มดับเบิลยู บริษัทยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบรนด์รถมินิ และโรลส์-รอยซ์ในอังกฤษ
ด้านแหล่งข่าวของจากัวร์ แลนด์โรเวอร์เผยว่า ถ้าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายก็มีความเสี่ยงที่การผลิตรถยนต์จะหยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญในเดือนธันวาคม ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของนิสสันกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่านี่เป็น “ปัญหาใหญ่”
ศึกภายในระหว่างบริษัทแม่ของเน็กซ์พีเรีย ซึ่งตั้งอยู่ในเนเธอร์แลนด์กับเน็กซ์พีเรียไชน่า ( Nexperia China) บริษัทสาขาในเมืองต่งกวนทางภาคใต้ของจีนปะทุขึ้น หลังจาก รัฐบาลดัตช์อ้างข้อวิตกด้านความมั่นคงของชาติ เข้าควบคุมการทำงานของบริษัทแม่แทนเจ้าของคือบริษัทวิงเทค ( Wingtech ) เมื่อวันที่ 30 กันยายน โดยสั่งปลดนายจาง เสว่เจิ้ง ซีอีโอชาวจีน และแต่งตั้งทีมผู้บริหารชั่วคราวขึ้นมาแทน
ก่อนหน้าการเข้ายึดบริษัทแม่นั้น กระบวนการผลิตชิปของเน็กซ์พีเรียคือผลิตแผ่นเวเฟอร์ในยุโรปก่อน จากนั้น จึงส่งมาผลิตต่อจนสำเร็จรูปในจีน
รัฐบาลจีนจึงตอบโต้ด้วยการสั่งห้ามการส่งออกชิปเน็กซ์พีเรียสำเร็จรูปทั้งหมดเมื่อต้นเดือนตุลาคม
ตามปกติแล้ว แผ่นเวเฟอร์จากเนเธอร์แลนด์ทำให้โรงงานเมืองต่งกวนสามารถผลิตชิปสำเร็จรูปได้มากถึงราว 70% ของปริมาณการผลิตของเน็กซ์พีเรียทั่วโลก แต่บริษัทแม่ไม่ส่งมาให้ โดยอ้างว่าฝั่งจีน “ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เมื่อเร็วๆ นี้”
อย่างไรก็ตาม ในการหารือเพื่อคลี่คลายสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ปูซาน จีนตกลงให้มีการส่งออกชิปสำเร็จรูปของเน็กซ์พีเรียได้บางส่วน ขณะที่สหรัฐฯจะระงับการบังคับใช้กฎระเบียบฉบับปรับปรุงใหม่ ที่เรียกว่ากฎระเบียบควบคุมการส่งออก “บริษัทสาขา 50 เปอร์เซ็นต์” ( “50 per cent subsidiary” export-control rule) เป็นเวลาหนึ่งปี
เนเธอร์แลนด์เป็นแนวร่วมของสหรัฐฯในการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงให้แก่จีน การเข้าควบคุมบริษัทแม่ของเน็กซ์พีเรียมีขึ้น หลังจากสหรัฐฯ ประกาศใช้กฎระเบียบใหม่ดังกล่าวได้เพียงหนึ่งวัน
กฎระเบียบใหม่ดังกล่าวมีการขยายมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯครอบคลุมถึงบริษัทใดก็ตาม ที่มีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 50 % เป็นบริษัท ซึ่งถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำจำกัดการส่งออก และวิงเทคก็อยู่ในบัญชีดำ
รัฐบาลดัตช์เข้าควบคุมบริษัทแม่ เพราะเชื่อว่า ซีอีโอชาวจีนกำลังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชิปของเนเธอร์แลนด์แก่จีน โดยงัดพระราชบัญญัติความพร้อมจำหน่ายสินค้า พ.ศ. 2495 (1952 Goods Availability Act ) ซึ่งอยู่บนหิ้งมานาน เพื่อปลดซีอีโอชาวจีน
การระงับการบังคับใช้กฎระเบียบดังกล่าวเป็นเวลา 1 ปีจึงเท่ากับเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลดัตช์ต้องถอนการเข้าควบคุมเน็กซ์พีเรีย
เมฆหมอกดูเหมือนจะสลาย ทว่าหลังการเจรจาทรัมป์-สีผ่านมาได้ 2 วัน เน็กซ์พีเรียไชน่าก็ออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ ( 2 พ.ย. ) ว่า ไม่ได้ละเมิดสัญญาการว่าจ้าง พร้อมกับประณามข้ออ้างในการไม่ส่งแผ่นเวเฟอร์ของบริษัทว่าเป็นการโกหกหลอกลวง อีกทั้งกล่าวหาบริษัทแม่ว่าเป็นหนี้เน็กซ์พีเรียไชน่ามากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน ซึ่งบริษัทแม่ปฏิเสธ
นอกจากนั้นเน็กซ์พีเรียไชน่ายืนยันกับลูกค้าว่ากำลังเร่งคัดเลือกซัปพลายเออร์แผ่นเวเฟอร์รายใหม่ โดยจะกลับมาดำเนินการเต็มกำลังการผลิตได้ในปีหน้า
ด้านนายเซบาสเตียน คอนติน ทริลโล-ฟิเกโรอา นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์และนักวิจัยประจำสถาบันเอเชียโกลบอลของมหาวิทยาลัยฮ่องกงมองว่า การเข้าควบคุมบริษัทแม่ รัฐบาลดัตช์ทำราวกับว่าถูกบังคับด้วยความจำเป็น แต่ขณะนี้ความจำเป็นที่ว่าได้หายไปแล้วด้วยความคิดเห็นจากทรัมป์เพียงคำเดียว
เนเธอร์แลนด์กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะเลือกอย่างไหน ระหว่างการอยู่กับร่องกับรอยทางกฎหมาย ความน่าเชื่อถือทางการเมือง และความอยู่รอดของภาคอุตสาหกรรม เขาระบุ
ที่มา : เดอะเทเลกราฟ / เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์


