MGR Online: ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของโลกมานานแล้ว แต่วันนี้เราผลิตสินค้าที่ล้าสมัย มีมูลค่าเพิ่มน้อย ตลาดโลกไม่ต้องการแล้ว งาน‘ฮ่องกง อิเล็คทรอนิกส์’ มีไอเดียที่จะทำให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยกลับมาสู่เวทีโลก
อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย เพราะว่าสร้างรายได้มากกว่า 10% ของ GDP และคิดเป็น 24% ของการส่งออกทั้งหมด โดยมีคนไทยทำงานในอุตสาหกรรมนี้มากกว่า 750,000 คน แต่ปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญก็คือ เราเป็นเพียงผู้รับจ้างประกอบ ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีแบรนด์ของตัวเอง ที่สำคัญคือ ของที่เราผลิตนั้นตกยุคไปแล้ว
อย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่เราเป็นผู้ผลิตและส่งออกมากกว่า30% ของตลาดโลก แต่ตอนนี้ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค
SSD หรือ โซลิดสเตทไดรฟ์ รวมถึงการเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว หรือว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ทุกวันนี้ราคาถูกลงอย่างมาก เพราะต้นทุนทางเทคโนโลยีลดลง และมี ประเทศจีน ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่เข้ามาแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ, ทีวี,คอมพิวเตอร์ หรือ สมาร์ทโฟน ทุกวันนี้ราคาถูกกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนหลายเท่าตัว ซึ่งผู้บริโภคได้ประโยชน์ แต่ว่าฝั่งผู้ผลิตนั้นหมายถึงกำไรที่ลดลงอย่างมาก
งาน ฮ่องกง อิเล็กทรอนิกส์ จัดโดย องค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง หรือ HKTDC โดยปีนี้ ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และหุ่นยนต์ ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในแทบทุกอย่างตั้งแต่อุตสาหกรรม ถึงชีวิตของคนทั่วไป แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ประกอบการจากประเทศไทยเลย
คุณภาณุพงษ์ วงศ์รอด ผู้บริหารสื่อ CIO worldbusiness ให้ความเห็นว่าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เกือบทั้งหมดเป็นการรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ใหญ่ ๆ ของยุโรป, ญี่ปุ่น และจีน แต่ไทยเราไม่ได้มีแบรนด์ของตัวเอง จึงทำให้สินค้าของไทยไม่มีพื้นที่บนเวทีโลก
“ที่ผ่านมา เราอาจจะเห็นว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเรื่องต่าง ๆ แต่ว่าเราไม่ใช่ฐานการผลิตในแบรนด์ของตัวเอง เรารับจ้างผลิต ถ้าหากเราอยากจะปักหมุดอยู่บนเวทีโลก ก็ควรจะต้องมีแบรนด์ของตัวเองที่เป็นแบรนด์ไทย ซึ่งก็ต้องกลับไปถามว่าแบรนด์ไทยกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอกนิสก์ เราจะวาง position ตัวเองอยู่ตรงไหนบ้าง ผมคิดว่าไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาทำกันแล้วเราจะต้องทำตามเขา มันก็อาจจะไม่ใช่”
คุณภาณุพงษ์บอกว่า ประเทศไทยอาจจะไม่จำเป็นต้องบุกเบิกเทคโนโลยีไฮเทค เช่น หุ่นยนต์, เซมิคอนดักเตอร์, เอไอ แต่เราต้องมี “ไอเดีย” ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ากับอุตสาหกรรมที่เราถนัด และมีความได้เปรียบ เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง และการสร้างซอฟท์พาวเวอร์ต่าง ๆ
งานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิสก์ ที่ฮ่องกง มีไอเดียน่าสนใจมากมาย อย่างเช่น สมาร์ทวอช ที่เรานิยมใส่กันตอนนี้ มีข้อมูลสุขภาพที่เชื่อมโยงกับโรงพยาบาลได้, เจ้าแห่งซอฟพาวเวอร์อย่าง เกาหลีใต้ ที่ใช้ AI ทำให้ทุกคนสร้างอนิเมชั่น ในเรื่องราวของตัวเองได้, หรือว่า ญี่ปุ่น ที่ใช้หุ่นยนต์มาดูแลผู้สูงอายุ, มีไม้เท้า AI ช่วยให้ผู้สูงวัยเดินทางไปที่ต่าง ๆ และทำกิจกรรมได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น
คุณ Alex Kong จากบริษัท megastek เล่าว่า ไม้เท้า AI มีระบบ GPS ช่วยนำทางผู้สูงอายุแจ้งสภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศ แจ้งเตือนสิ่งกีดขวาง และยังสามารถระบุพิกัดได้อย่างแม่นยำ ถ้าหากผู้สูงอายุประสบอุบัติเหตุหรือพลัดตกหกล้ม ก็สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนาต่อยอดให้ไม่เท้าจับชีพจร วัดการเต้นหัวใจ และติดต่อสุขภาพของผู้สูงอายุได้ด้วย
ผลิตภัณฑ์อีกอย่างหนึ่งของบริษัท megastek ที่เคยมีเปิดตลาดที่ประเทศไทย ก็คือ กำไล EM (Electronic Monitoring) ที่ใช้สำหรับติดตามความเคลื่อนไหวและตำแหน่งของผู้ถูกคุมประพฤติ การใช้กำไล EM สามารถช่วยลดความแออัดของเรือนจำ ,ลดภาระของการควบคุมตัวผู้ต้องขัง และยังช่วยให้ผู้รับโทษที่มีความประพฤติดีหวนคืนสู่สังคมได้เร็วขึ้น
กำไล EM จะทำให้จ้าหน้าที่จะสามารถตรวจสอบตำแหน่งได้แบบเรียลไทม์ และสามารถตั้งค่าพื้นที่ หรือช่วงเวลาที่จำกัดการเคลื่อนไหวของของผู้สวมใส่ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ AI เพื่อติดตามสุขภาพของผู้สวมใส่ รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และเส้นทางการเดินทางว่า ผู้ต้องโทษมีแนวโน้มจะหนึ หรือทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวหรือไม่
งานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิสก์ ที่ฮ่องกง ได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะแบรนด์ใหญ่ระดับโลก หรือ บริษัทสตาร์อัพ ก็สามารถมีพื้นที่บนเวทีโลกได้ ถ้าหากมีไอเดียในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพราะฮ่องกงเองก็ไม่ใช่ฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิสก์ และไม่มีมีเทคโนโลยีของตัวเอง แต่ฮ่องกงมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีเพื่อประมวลผลข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การลงทุน จับคู่การค้า วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มการตลาด รวมถึงผสานเทคโนโลยีเข้ากับผลิตภัณฑ์ เช่น
ตู้เย็นที่มี AI ตรวจจับว่ามีของอะไรอยู่ในตู้เย็นบ้าง ซื้อมาเมื่อไหร่ หมดอายุเมื่อไหร่ ขาดเหลืออะไร และสั่งซื้อไปที่ซูเปอร์มาเก็ตได้โดยตรง นอกจากนี้ ก็ยังนำเสนอเมนูอาหารต่าง ๆ ตามวัตถุดิบที่มีอยู่ในตู้เย็นได้ด้วย
คุณฉัตรา ปาลเดชพงศ์ บรรณาธิการเวปไซต์ ซีเคร็ทไอที ให้ความเห็นว่า การสนับสนุนจากภาครัฐ มีส่วนสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมของไทยเปลี่ยนจากการรับจ้างผลิต ยกระดับเป็นการผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยี
“คนไทยจะมาที่จีน มาฮ่องกงกง เพื่อจะมาหาผลิตภัณฑ์ แล้วก็สั่งทำ OEM ของตัวเอง แล้วก็เอาไปขายเมืองไทย ส่วนเรื่องของการพัฒนา เรื่องของเทคโนโลยีต่าง ๆ จริงๆ แล้วเราก็สู้ได้ แต่พอไปถึงระดับนานาชาติและระดับโลกแล้ว ไทยเราไปไม่ได้เต็มที่ 100% เหมือนจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ที่รัฐบาลเขาสนับสนุนเต็มที่”.


