ไต้หวันได้ผู้นำพรรคฝ่านค้านคนใหม่ในขณะที่อุณหภูมิความตึงเครียดกับจีนพุ่งปรี๊ดใกล้ปรอทแตก
ม้ามืดชนะการเลือกตั้งประธานพรรคชาตินิยมหรือพรรคก๊กมินตั๋ง “เจิ้งลี่เหวิน” อดีตส.ส.หญิง วัย 55 ปี เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรคที่กรุงไทเปเมื่อวันเสาร์ ( 1 พ.ย.)
“นี่คือช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด ช่องแคบไต้หวันกำลังเผชิญกับอันตรายทางทหารหนักหนาสาหัสและโลกกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด” เจิ้งกล่าวสุนทรพจน์ในการเข้ารับตำแหน่ง โดยเตือนถึงความเสี่ยงที่ไต้หวันจะเกิดสงครามกับจีน พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะเปิดศักราชใหม่แห่งสันติภาพกับปักกิ่ง
จุดยืนอย่างชัดเจนของเจิ้งก็คือการสานสัมพันธ์กับปักกิ่งอย่างใกล้ชิดซึ่งดูเหมือนจะกระชับให้แน่นแฟ้นยิ่งกว่าในสมัยของนายเอริก ชู ผู้นำพรรคคนก่อนด้วยซ้ำ
จีนถือว่าไต้หวันซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน แต่รัฐบาลเกาะมังกรน้อยจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ( DPP) คัดค้านการกล่าวอ้างอธิปไตยนี้ อีกทั้งยังดำเนินนโยบายที่ส่อถึงความปรารถนาประกาศเอกราช โดยซบอกสหรัฐอเมริกาซึ่งให้การหนุนหลังอย่างออกนอกหน้า จนนำไปสู่การซ้อมรบปิดล้อมเกาะไต้หวันของจีนบ่อยครั้ง
ในขณะที่พรรคก๊กมินตั่งสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือกับปักกิ่งมาโดยตลอด
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงถึงกับส่งสารแสดงความยินดีในทันทีที่เจิ้งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานพรรค พร้อมกับเรียกร้องให้พยายามส่งเสริม "การรวมชาติ"
ชาวเน็ตในจีนบางคนเรียกเจิ้งว่าเป็น “เทพีแห่งการรวมไต้หวันกับจีนอีกครั้ง” อย่างไรก็ตาม เจิ้งออกตัวว่าเธอได้รับฉายามากมายในโลกโซเชียล “ถ้าฉายาเหล่านั้นผิดหรือไม่ตรงกับความจริงก็หัวเราะขำๆ กันไปค่ะ”
เจิ้งเป็นสตรีคนที่ 2 ที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง คนแรกคือหงซิ่วจู ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2559 ถึง 2560
เจิ้งเคยเป็นนักวิจารณ์การเมืองทางโทรทัศน์ฝีปากกล้า เริ่มอาชีพนักการเมืองจากพรรคDPP ไม่ใช่ลูกหม้อของพรรคก๊กมินตั๋ง การเลือกตั้งประธานพรรคเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ชัยชนะของเจิ้งต่อนายห่าว หลุงปิน วัย 73 ปีอดีตนายกเทศมนตรีกรุงไทเปและรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม ด้วยคะแนน50.15% จึงเป็นเรื่องเหนือคาด และถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปของพรรค ซึ่งก่อตั้งมานาน 130 ปี เก่าแก่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออก
เจิ้งยังประกาศจุดยืนของตนเองในฐานะนักปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนพรรคก๊กมินตั๋งจาก “ฝูงแกะ” ให้เป็น “ฝูงสิงโต” และคว้าชัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2571 ให้ได้ หลังจากปราชัยให้กับพรรค DPP มา3 สมัยต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559
นักวิเคราะห์มองว่า งานท้าทายใหญ่ที่รอเจิ้งอยู่ก็คือการโน้มน้าวให้พลเมืองไต้หวันได้เข้าใจว่าการกระชับความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้นจะไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของไต้หวันเอง
การรับมือกับกลุ่มสนับสนุนเอกราชภายในไต้หวันก็เป็นเรื่องสำคัญ
นอกจากนั้น ผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งคนใหม่จะดำเนินกุศโลบายอย่างไร เพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับสหรัฐฯ หลังจากที่เคยออกมาคัดค้านแข็งกร้าวต่อแผนการเพิ่มงบประมาณกลาโหมของรัฐบาลประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของสหรัฐฯ เพื่อให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเองจากการรุกรานของจีน
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไล่มีแผนเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเกิน 3 %ของ GDPไต้หวันในปี 2569 และเกิน 5 % ภายในปี 2573 โดยปัจจุบัน ไต้หวันใช้จ่ายประมาณ 2.45 % ของผลผลิตทางเศรษฐกิจไปกับการทหาร
ที่มา : รอยเตอร์/เดอะสเตรตส์ไทมส์


