นายจาง เจี้ยนเว่ย
เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย
ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะของสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นของประชาชนจีน และสงครามต่อต้านฟาสซิสต์โลก รวมถึงวาระครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติ การกลับคืนสู่จีนของไต้หวันถือเป็นผลลัพธ์สำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นองค์ประกอบสำคัญของระเบียบโลกหลังสงคราม เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2514 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 26 ได้มีมติเห็นชอบข้อมติที่ 2758 ด้วยคะแนนเสียงข้างมากอย่างท่วมท้น ซึ่งได้แก้ไขปัญหาทางการเมือง กฎหมาย และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด รวมถึงไต้หวันในสหประชาชาติได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ในไต้หวันได้สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มภายนอกเพื่อบิดเบือนและท้าทายมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 โดยเผยแพร่ความเท็จและความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงที่ว่า "สถานะของไต้หวันยังไม่แน่นอน" การท้าทายอำนาจของสหประชาชาติและระเบียบโลกหลังสงครามอย่างโจ่งแจ้งนี้ ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ข้าพเจ้าใคร่ขอทบทวนประวัติศาสตร์ร่วมกับท่านทั้งหลาย เพื่อให้เข้าใจปัญหาไต้หวันอย่างแจ่มแจ้ง และยึดมั่นในหลักการจีนเดียวอย่างแน่วแน่
1. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักการจีนเดียวกับมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758
ความหมายพื้นฐานของหลักการจีนเดียวมีสามประการ ได้แก่ มีประเทศจีนเพียงประเทศเดียวในโลก ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงรัฐบาลเดียวที่เป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด
มติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 "มีมติให้คืนสิทธิทั้งหมดของสาธารณรัฐประชาชนจีน ยอมรับตัวแทนของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวของจีนในสหประชาชาติ และขับไล่ตัวแทนของเจียงไคเช็กออกจากที่นั่งที่พวกเขาครอบครองอย่างผิดกฎหมายในสหประชาชาติและหน่วยงานภายใต้สังกัดทั้งหมดทันที"
หลักการจีนเดียวเป็นข้อตกลงและรากฐานของมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 และมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 ยืนยันและบังคับใช้หลักการจีนเดียวอย่างเคร่งครัด โดยชี้ให้เห็นชัดเจนว่ามีประเทศจีนเพียงประเทศเดียวในโลก รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวของจีนทั้งหมด รวมถึงไต้หวัน และไม่มี "สองประเทศจีน" หรือ "หนึ่งจีน หนึ่งไต้หวัน"
2. ความชอบธรรม ความถูกต้อง และอำนาจของมติ 2758 มิอาจท้าทายได้
มติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายอย่างกว้างขวาง ซึ่งทำให้ระบบสหประชาชาติและหน่วยงานต่างๆ มีอำนาจในการจัดการปัญหาไต้หวันได้อย่างเหมาะสม หลังจากการรับรองข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 เอกสารทางการของสหประชาชาติมักอ้างถึงไต้หวันว่า "ไต้หวัน มณฑลของจีน" (Taiwan, Province of China) ความคิดเห็นทางกฎหมายที่ออกโดยสำนักงานกิจการกฎหมายของสำนักเลขาธิการสหประชาชาติยังเน้นย้ำว่า "สหประชาชาติเชื่อว่าไต้หวันในฐานะมณฑลของจีนไม่มีสถานะเป็นเอกราช" และ "ทางการไต้หวันไม่มีสถานะเป็นรัฐบาลในรูปแบบใดๆ" นี่คือจุดยืนที่มั่นคงของสหประชาชาติ และมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี
กระบวนการการรับรองมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 สะท้อนถึงพลังขับเคลื่อนอันไม่หยุดยั้งของประชาคมระหว่างประเทศในการธำรงไว้ซึ่งหลักการจีนเดียว ไม่เพียงแต่เป็นชัยชนะของชาวจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะของผู้คนทั่วโลกในการต่อสู้กับลัทธิอำนาจครอบงำและการเมืองแบบใช้อำนาจ การรับรองข้อมติดังกล่าวส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างกว้างขวางต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมหลักการจีนเดียวให้เป็นบรรทัดฐานพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเป็นฉันทามติระหว่างประเทศที่กว้างขวาง จนถึงปัจจุบัน มี 183 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้สถาปนาและพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนบนพื้นฐานของหลักการจีนเดียว
3.หลักการจีนเดียวเป็นรากฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์จีน-ไทย
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 สาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรไทยได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต แถลงการณ์ระบุว่า “รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยอมรับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวของจีน ยอมรับจุดยืนของรัฐบาลจีนว่ามีประเทศจีนเพียงประเทศเดียว และไต้หวันเป็นดินแดนของจีนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ และตัดสินใจที่จะถอนสำนักงานตัวแทนอย่างเป็นทางการทั้งหมดออกจากไต้หวันภายในหนึ่งเดือนนับจากวันที่ลงนามในแถลงการณ์ฉบับนี้” แถลงการณ์ระบุว่า “รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนยอมรับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และตกลงที่จะเคารพในเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย” แถลงการณ์ยังระบุว่า “รัฐบาลทั้งสองมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความแตกต่างในระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรไทยไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์อย่างสันติและฉันท์มิตรระหว่างสองประเทศและประชาชนของตนตามหลักการเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน การไม่รุกรานกัน การไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต จีนและไทยได้ยึดมั่นในความเคารพซึ่งกันและกัน ความเสมอภาค ความไว้วางใจซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด โดยสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างเหนียวแน่นในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านการพัฒนาของชาติ ภายใต้การชี้นำเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำทั้งสองประเทศ ความสัมพันธ์จีน-ไทยได้ธำรงไว้ซึ่งแรงผลักดันการพัฒนาที่มั่นคงและแข็งแกร่ง โดยได้รับผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากความร่วมมือในหลากหลายสาขา แนวคิดที่ว่า “จีน-ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ได้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของประชาชนมากยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. 2568 รัฐบาลจีนและไทยได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม โดยมุ่งเน้นที่อนาคตและการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง และส่งเสริมการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น ฝ่ายไทยเน้นย้ำถึงการยึดมั่นอย่างแน่วแน่ต่อนโยบายจีนเดียว โดยยอมรับว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวที่เป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ ไม่สนับสนุนการอ้าง "เอกราชของไต้หวัน" ใดๆ และสนับสนุนหลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ของจีน
จีนชื่นชมอย่างยิ่งต่อการยึดมั่นในหลักการจีนเดียวของไทยอย่างมั่นคงเสมอมา จีนยินดีใช้โอกาสครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย และ “50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย” เป็นจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ เสริมสร้างความไว้วางใจทางการเมืองซึ่งกันและกันระหว่างสองประเทศ สนับสนุนจุดยืนในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หลักและข้อกังวลสำคัญของกันและกันอย่างมั่นคง และร่วมกันพิทักษ์รักษาเจตนารมณ์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ รักษาระบบระหว่างประเทศที่มีสหประชาชาติเป็นแกนหลัก และระเบียบระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทยบรรลุผลสำเร็จมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและโลกมากยิ่งขึ้น