โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ในบทความนี้ผู้เขียนอยากจะมาเล่าประเด็นของความสวยความงาม น่าจะเป็นที่ถูกใจเหล่าสาวๆทั้งหลาย ไทยมีคำพูดที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ส่วนจีนเองก็มีสำนวนหนึ่งที่ว่า “人靠装衣,佛靠金装” อ่านว่า “เหรินเข้าจวงยี ฝอเข้าจินจวง” แปลว่า “คนพึ่งเสื้อผ้า พระพึ่งทองคำหุ้ม” อุตสาหกรรมศัลยกรรมและความงามของจีนเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยขับเคลื่อนจากหลายปัจจัย ทั้งการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง ความสนใจในการพัฒนาภาพลักษณ์ตนเองมากขึ้นไม่เหมือนคนยุคก่อน และอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำให้มาตรฐานความงามในแบบใหม่ๆแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยหลายแห่งชี้ว่า ตลาดศัลยกรรมและความงามของจีนมีมูลค่ามากกว่า 300,000 ล้านหยวนในปัจจุบัน และคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15–20% ในอีก 5 ปีข้างหน้า เซกเมนต์ที่เติบโตสูง ได้แก่ ศัลยกรรมตกแต่ง (จมูก ตา คาง), การฉีดสารเติมเต็ม/โบท็อกซ์, การดูแลผิวด้วยเลเซอร์, การปลูกผมและการชะลอวัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุน้อย Gen Z และ Millennials กลายเป็นลูกค้าหลัก มีพฤติกรรม “เสริมสวยเชิงป้องกันไว้ล่วงหน้า” เช่น ฉีดโบท็อกซ์ตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อชะลอริ้วรอย คาดว่าปี 2025 นี้มูลค่าตลาดศัลยกรรมและความงามของจีนจะสูงถึงราว 3.8–4.1 แสนล้านหยวน การทำหัตถการแบบไม่ผ่าตัด เป็นส่วนที่โตเร็วที่สุด ในปี 2024 มีมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านหยวน คิดเป็นมากกว่าครึ่งของตลาดทั้งหมด
ปัจจัยขับเคลื่อนและค่านิยมสังคมจีนที่เปลี่ยนไป กำลังซื้อเพิ่มขึ้นและรายได้ต่อหัวของชาวจีนโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ต่อมาคืออิทธิพล KOL และสื่อออนไลน์ บนแอปยอดนิยมของจีนอย่าง เสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) และ ติ๊กต็อกเวอร์ชั่นจีน ที่จีนเรียกว่า โต่วอิน (Douyin) ทำให้ข้อมูลการทำศัลยกรรมและรีวิวคลินิกเข้าถึงง่ายขึ้นมากและปัจจุบันก็มีอินฟลูเอนเซอร์สายความงามมากมายในจีน ต่อมาคือการยอมรับด้านศัลยกรรมความงามในสังคมสูงขึ้น และการทำศัลยกรรมไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับอีกต่อไป แต่เป็นการ “ลงทุนในตัวเอง” สุดท้ายคือเทคโนโลยีการแพทย์ความงามของจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งเทคนิคและความเสี่ยงอุบัติเหตุในห้องผ่าตัดลดลง
ถ้าดูข้อมูลสถิติจะพบว่ากำลังหลักของคนที่ทำศัลยกรรม คือกลุ่มคนจีนอายุ 25–30 ปี คิดเป็น 38%, คนอายุ 30–35 ปี คิดเป็น 31%, และคนอายุต่ำกว่า 25 ปีมีสัดส่วนประมาณ 19% ของคนที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมทั้งหมด คนจีนยุคใหม่เชื่อว่าสังคมปัจจุบันแข่งขันกันรุนแรง หน้าตาดีเหมือนจะช่วยให้มีข้อได้เปรียบในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหางานหรือการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อิทธิพลของวัฒนธรรมการบริโภคก็มีส่วนไม่น้อย สื่อและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆคอยตอกย้ำภาพ “ความสวยงามแบบสมัยนิยม” เมื่อดูไปมากๆ ก็ทำให้คนรู้สึกกังวล และคิดว่า ถ้าไม่ทำศัลยกรรมให้เหมือนแบบสมัยนิยมเหล่านั้น ก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่นหรือสังคม
หากดูจากฐานประชากรโดยรวมคนจีนที่เริ่มทำศัลยกรรมหรือเข้าคลินิกใช้เทคนิคทางการแพทย์ดูแลผิวยังมีไม่มากนักแต่กลุ่มนี้เติบโตเร็วและมียอดใช้จ่ายที่สูง เพราะตลาดที่ใหญ่และมีศักยภาพในตัวทำให้จีนกลายเป็นตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามทางการแพทย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่มีอุตสาหกรรมความงามทางการแพทย์ก้าวหน้า จีนยังมีอัตราการเข้าถึงบริการ (penetration rate) ที่ค่อนข้างต่ำ ปัจจุบันอัตราการเข้าถึงตลาดความงามทางการแพทย์ของจีนมีเพียง 4.5% เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น 11% สหรัฐอเมริกา 17% และเกาหลีใต้ 22% ดังนั้นจีนยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก
ขณะที่ตลาดการบริโภคด้านความงามทางการแพทย์ของจีนกำลังขยายตัว แต่จำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามยังค่อนข้างขาดแคลน ในจีนแผ่นดินใหญ่มีศัลยแพทย์ตกแต่งเพียง 0.2 คนต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านจีนอย่างเกาหลีใต้มีศัลยแพทย์ตกแต่ง 5.3 คนต่อประชากร 1 แสนคน ส่วนดัชนีพัฒนาการอุตสาหกรรมความงามทางการแพทย์ของเมืองต่างๆ ในจีนประจำปี 2024 แสดงให้เห็นว่า ปักกิ่ง เซินเจิ้น เฉิงตู กว่างโจว เซี่ยงไฮ้ จี่หนาน ฉางซา หนิงปัว หางโจว และฉงชิ่ง เป็น 10 เมืองที่มีโดดเด่นที่สุด โดยปักกิ่งครองอันดับหนึ่ง ด้วยข้อได้เปรียบด้านบุคลากรคุณภาพสูง เงินทุนสูงและทรัพยากรงานวิจัยทางการแพทย์ที่หลากหลาย
แม้ว่าอุตสาหกรรมความงามทางการแพทย์จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาในอุตสาหกรรมความงามทางการแพทย์ของจีนก็มีอยู่เช่นกัน เช่น ราคาค่ารักษาที่ไม่มีมาตรฐาน หมอปลอม สินค้าปลอม คลินิกผิดกฎหมายในเมืองชั้นรอง (ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์รู้จักกับเจ้าของร้านทำเล็บในปักกิ่งคนหนึ่ง ไม่ได้เรียนจบแพทย์อะไร ตอนหลังขยายธุรกิจด้านความงามไปเปิดคลินิกศัลยกรรมเล็กๆที่มณฑลเหอเป่ยแล้วสร้างโปรไฟล์ตั้งตัวเป็นศัลยแพทย์ความงาม ทำการฉีดหน้าทำหัตถการให้กับลูกค้าและผ่าตัดตาสองชั้น สำหรับการผ่าตัดอื่นๆไปจ้างหมอข้างนอกเข้ามา ซึ่งก็ทำการตลาดดีได้แล้วเหมือนจะดึงดูดลูกค้าในระแวกนั้นได้มากมาย ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก) นอกจากนี้วงการนี้มีเกิดปัญหาอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาเกินจริงของโรงพยาบาลหรือคลินิกความงาม การหลอกลวงเงินจากลูกค้าให้ซื้อสมาชิกแล้วปิดหนี คลินิกเถื่อน ทำให้เรื่องราวเหล่านี้ถูกร้องเรียนจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากแพลตฟอร์ม “เซียวเฟ่ยเป่า” (Xiaofeibao/消费保) พบว่า การร้องเรียนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมความงามทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปี 2022 มีสัดส่วนการร้องเรียนเพียง 3.81% ปี 2023 พุ่งขึ้นเป็น 24.25% และปี 2024 ก็พุ่งต่อเนื่องเป็น 53.41% ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการโฆษณาเกินจริง การขอเงินคืน ปัญหาคุณภาพบริการ ไปจนถึงทัศนคติของหมอหรือพนักงานที่ไม่ดี เป็นต้น เช่น เมื่อไม่นานมานี้ ผู้บริโภคหญิงนางเฉาได้ยื่นเรื่องร้องเรียน ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2024 เธอจ่ายเงิน 22,500 หยวนหรือแสนกว่าบาท ให้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามในเมืองเซินเจิ้นคือ Shenzhen Yestar เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดูดไขมันรอบเอวและหน้าท้องเพื่อนำไปเติมหน้าอก พร้อมทั้งทำทรีตเมนต์กระชับผิวแบบ “Golden Micro-sculpting” แต่หลังผ่าตัดเพียง 1 เดือนกว่า นางเฉาสังเกตเห็นว่าหน้าอกสองข้างไม่เท่ากัน หน้าท้องเป็นคลื่นอย่างเห็นได้ชัดและผิวหนังเหี่ยวย่น
แต่ทางสถาบันความงาม Yestar ชี้แจงว่า อาการเหล่านี้เกิดจากร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี และจะค่อยๆ ดีขึ้นในประมาณ 3 เดือน แต่เมื่อเวลาผ่านไปครบ 4 เดือนหลังผ่าตัด คุณเฉาพบว่าสภาพร่างกายของเธอยังไม่ดีขึ้นเลย เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเธออย่างรุนแรง นางเฉากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “กู้เงินมาดูดไขมันเพราะหวังเพิ่มความมั่นใจ แต่ตอนนี้กลับเจ็บปวดทรมานอย่างมาก” และแพทย์ที่ทำการดูดไขมันให้เธอคือผู้อำนวยการโรงพยาบาล เธอเล่าว่าไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้อำนวยการที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไขมันมานาน 25 ปี เคยทำงานที่โรงพยาบาลชั้นนำและเชี่ยวชาญด้านการจัดการไขมัน จะทำออกมาเป็นแบบนี้
ผู้ร้องเรียนฯอีกกรณีคือ นางสาวจางได้ยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านแพลตฟอร์ม “เซียวเฟ่ยเป่า” ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2025 เธอไปที่โรงพยาบาลศัลยกรรมในเมืองหนันจิง คือ Nanjing Meilai เพื่อฉีดฟิลเลอร์ โดยซื้อผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Juvederm แต่กลับถูกบังคับให้อัปเกรดเป็นยี่ห้อ Restylane และฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ดวงตา สโลแกนโฆษณาของโรงพยาบาลระบุว่าฉีดอย่างแม่นยำและรับประกันว่าไม่มีผลข้างเคียงอื่นๆ แต่หลังฉีดแล้วเธอพบว่าบนใบหน้ามีปัญหาเป็นหลุมยุบ บริเวณแก้มและเบ้าตาลึกลง ทำให้ใบหน้าเสียรูปอย่างชัดเจน โรงพยาบาลมีพฤติกรรมโฆษณาเกินจริง การปฏิบัติงานผิดพลาด และชักจูงการบริโภค ในเคสของคุณจางได้รับการชดเชยจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย
ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีเคสหลุดทางการแพทย์อีกมากมายที่เผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตจีนและผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมความงามจีนเพิ่งมาเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ระบบการจัดการภายในอุตสาหกรรมและการกำกับดูแลจากหน่วยงานรัฐอาจจะยังไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง แต่หน่วยงานจีนทุกฝ่ายก็พยายามปรับปรุงและเข้มงวดในเรื่องของการควบคุมการแพทย์ด้านความงาม พยายามสร้างมาตรฐานในอุตสาหกรรมด้วย เช่น การตรวจสอบคุณสมบัติแพทย์อย่างเคร่งครัด จัดฝึกอบรมแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อยกระดับทักษะ ในด้านการจัดซื้อยาและอุปกรณ์การแพทย์ต้องมีใบอนุญาตเพื่อรับประกันความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ มีการจัดตั้งสมาคมอุตสาหกรรม เช่น ศูนย์การวิจัยและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านความงามทางการแพทย์ Yimei Mirror ก็มีบทบาทสำคัญ พวกเขาเผยแพร่ข้อมูลในอุตสาหกรรม วิเคราะห์ปัญหาในอุตสาหกรรม ให้คำแนะนำแก่หน่วยงานกำกับดูแลและสถาบันความงาม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมความงามทางการแพทย์ของจีนอย่างมีสุขภาวะ
และดูเหมือนว่าช่วงนี้ความงามศัลยกรรมในแบบของจีนกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในไทย มีคนไทยส่วนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวและทำศัลยกรรมในประเทศจีนเพราะอยากได้หน้าสไตล์สาวจีน จีนเป็นประเทศใหญ่ระบบค่อนข้างซับซ้อน ระบบบริการหลังการขายอ่อนแอไม่มีมาตรฐาน ผู้เขียนอยากฝากถึงผู้ที่รักความงามทั้งหลายก่อนตัดสินใจมาทำศัลยกรรมในจีนว่า ควรศึกษาประวัติโรงพยาบาลและความเชี่ยวชาญของแพทย์ให้ถี่ถ้วนดีก่อน อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาต่างๆมากนัก เพราะปัจจุบันคนจีนที่มีศักยภาพเลือกที่จะบินไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีใต้กันอยู่ ส่วนคนจีนที่จะทำศัลยกรรมในประเทศยังระแวดระวังกันเป็นอย่างมากสำหรับการเลือกแพทย์และโรงพยาบาลที่จะไปใช้บริการ