สับสนอลหม่านกันไปหมด ชาวจีนซึ่งทำงานกับบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา หลังจากสหรัฐฯประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมเป็น 1 แสนดอลลาร์ ( ราว 3 ล้าน 2 แสนบาท) ในการขอวีซ่าประเภท H-1B สำหรับแรงงานต่างชาติทักษะสูง
“ เหมือนฟ้าฝ่าเปรี้ยงกลางท้องฟ้าแจ่มใสเลยล่ะค่ะ” เซเลน่า ถัง ซึ่งอาศัยในเมืองซีแอตเทิลเล่าถึงความรู้สึก เมื่อทราบข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามรับรองการประกาศนโยบายใหม่เมื่อวันศุกร์ที่19 ก.ย.
ถังกับสามีจำใจบินกลับสหรัฐฯเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กันยายน ทั้งที่เตรียมจะเข้าพิธีแต่งงานแบบจีน ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในเมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซูในวันอังคารที่ 23 ก.ย. ตามคำสั่งเร่งด่วนจากฝ่ายกฎหมายของบริษัทที่ทำงาน เพราะทั้งคู่ถือวีซ่า H-1B และการเปลี่ยนแปลงนโยบายดูเหมือนยังไม่ชัดเจนในตอนแรกว่า ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าธรรมเนียม บริษัทหรือว่าพนักงาน
H-1B เป็นวีซ่า ซึ่งอนุญาตให้นายจ้างในสหรัฐฯ ว่าจ้างแรงงานต่างชาติที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง
ในวันที่ทรัมป์ลงนาม นายฮาวเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์พูดซ้ำอยู่หลายหนว่า จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็นรายปี แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวผู้หนึ่งระบุว่า ค่าธรรมเนียมหนึ่งแสนดอลลาร์นี้จ่ายครั้งเดียวสำหรับการยื่นคำร้องขอวีซ่าเท่านั้น
ความคลุมเครือของทำเนียบขาวทำให้ผู้ถือวีซ่าประเภทนี้จำนวนมากตื่นตระหนกสับสน
ถังจำเป็นต้องกลับสหรัฐฯ เพราะเธอกับสามีมีความเสี่ยงที่จะตกงานและจะไม่สามารถจัดการกับทรัพย์สินที่นั่นได้ ตอนนั้นเธอกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานกับทางผู้จัดงานแต่งระหว่างการเยือนจีนในช่วงเวลาอันสั้น แต่ต้องกลับสหรัฐฯปุบปับ ไม่มีเวลาแม้แต่จะไปเยี่ยมพ่อแม่หรือไปไหว้สุสานบรรพบุรุษ
พอกลับมาถึง จึงได้รู้ว่าเธอกับสามีไม่ต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ครั้นจะบินกลับไปจีนก็สายเสียแล้ว ทั้งคู่จึงตกลงบันทึกวิดีโอเพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งงานแบบระยะไกล
“เราต้องคิดเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้ากันใหม่” ถังซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐฯมานาน 13 ปีกล่าว
ขณะนี้หลายคนในโซเชียลมีเดียของจีนล้อเล่นกันว่า กำลังกลายเป็น "ทาส H-1B" เพราะเมื่อเวลาเดินทางไปจีนหรือไปประเทศอื่นๆ จะรู้สึกวิตกกังวลว่าอาจตกงาน
เวนดี้ หวัง ชาวเมืองหังโจว ต้องส่งสามีกลับสหรัฐฯอย่างเร่งด่วนเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กันยายน เขาทำงานที่บริษัทอินเตอร์เน็ตแห่งหนึ่งในเมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยตอนแรกทั้งคู่กะจะอยู่พักผ่อนวันหยุดด้วยกันจนถึงกลางเดือนตุลาคม สามีทำงานที่นั่นมานานานหนึ่งปีครึ่งแล้ว
ตอนนั้นความต้องการตั๋วเครื่องบินไปสหรัฐฯพุ่งสูง และเพื่อบินกลับได้ทันที สามีต้องจ่ายเงิน 15,000 หยวน ( ราว 67,500 บาท) สองถึงสามปีโน่นแหละ ทั้งคู่จึงจะได้เจอกันอีก
“พวกเราทั้งคู่ไม่มีแผนที่จะย้ายไปอาศัยถาวรในสหรัฐฯ”
“ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมทางการเมืองที่นั่นเปลี่ยนไปมาก ทำให้เกิดบรรยากาศความไม่แน่นอน” หวังกล่าว
ทั้งนี้ ในการยื่นคำร้องขอวีซ่า H-1B จำนวน 399,402 ฉบับ ซึ่งได้รับการอนุมัติระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 เป็นผู้ยื่นขอชาวจีนร้อยละ 11.7 ซึ่งเป็นกลุ่มสัญชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากชาวอินเดีย ตามข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติแห่งสหรัฐฯ
ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์