กระทรวงการต่างประเทศของจีนแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากมีรายงานว่าอิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศในระยะเวลาเพียง 72 ชั่วโมงครอบคลุมถึง 6 ประเทศ ได้แก่ กาตาร์ เลบานอน เยเมน ซีเรีย อิหร่าน และเขตเวสต์แบงก์ โดยการโจมตีล่าสุดที่เมือง
นายหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงต่อสื่อมวลชนว่า จีน “คัดค้านการละเมิดอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง” และ “ประณามทุกการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์” พร้อมทั้งเรียกร้องให้อิสราเอลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
“ความรุนแรงไม่เคยนำมาซึ่งความมั่นคง อาวุธไม่เคยสร้างสันติภาพ” โฆษกระบุ พร้อมเรียกร้องให้อิสราเอล “หยุดใช้กำลัง” และ “กลับเข้าสู่เส้นทางการเจรจาเพื่อสันติภาพ”
ความเคลื่อนไหวที่เป็นประเด็นที่สุดคือ การโจมตีของอิสราเอลต่อกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน โดยอิสราเอลอ้างว่าเป็นการ “โจมตีเป้าหมายที่แม่นยำ” เพื่อกำจัดผู้นำทางการเมืองของกลุ่มฮามาสที่รวมตัวประชุมอยู่ในอาคารหลังหนึ่ง ณ เวลานั้น
การโจมตีดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเสียหายร้ายแรงในทางกายภาพ แต่ยังส่งผลกระทบเชิงสัญลักษณ์อย่างรุนแรง เพราะกาตาร์เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างอิสราเอลและฮามาส
ก่อนหน้านี้ กาตาร์ได้เป็นตัวกลางในการผลักดันแผนหยุดยิงฉบับใหม่ในฉนวนกาซา โดยการประชุมของแกนนำฮามาสที่ตกเป็นเป้าหมายครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อเสนอที่สหรัฐฯ และอิสราเอลร่วมกันจัดทำขึ้น
เชค มูฮัมหมัด บิน อับดุลราห์มาน อัล-ธานี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของกาตาร์ กล่าวกับ CNN ว่า การโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้เป็นความพยายามของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ที่จะ “ทำลายโอกาสแห่งสันติภาพทั้งหมด” และ “จงใจบ่อนทำลายบทบาทของกาตาร์ในฐานะตัวกลาง”
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์สาขาโดฮาอธิบายว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เมืองหลวงของกาตาร์ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างเปิดเผยจากอิสราเอล และสะท้อนถึงการ “เปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างรุนแรง” ของเทลอาวีฟ
หลายฝ่ายแสดงความวิตกว่า การที่กาตาร์ถูกโจมตีจะทำให้สมดุลอำนาจในอ่าวอาหรับสั่นคลอน เพราะประเทศในกลุ่มรัฐในอ่าวอาหรับส่วนใหญ่ยึดมั่นในแนวทางการรักษาความมั่นคงผ่านความร่วมมือกับสหรัฐฯ และการทูตพหุภาคี กาตาร์เองมีบทบาทเป็นศูนย์กลางในการเจรจาระดับโลกมาโดยตลอด
ตั้งแต่ปี 2023 จนถึงปัจจุบัน กาตาร์มีบทบาทในกระบวนการไกล่เกลี่ยมากกว่า 10 สถานการณ์ทั่วโลก เช่น ความขัดแย้งในคองโก เวเนซุเอลา และล่าสุดคือกาซา
กาตาร์ถูกรู้จักในฐานะ “แพทย์ในสนามความขัดแย้ง” โดยใช้ทั้งเงินทุน ความสัมพันธ์ และพื้นที่ทางการเมือง เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างคู่ขัดแย้งในเวทีโลก ทว่า เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นข้อจำกัดของบทบาทดังกล่าว และตั้งคำถามถึงอนาคตของ “ความเป็นกลางอย่างมีเงื่อนไข” ของกาตาร์
วิเคราะห์จากนักวิชาการด้านตะวันออกกลางชี้ว่า แม้กาตาร์จะพยายามรักษาสถานะผู้ไกล่เกลี่ย แต่ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางความมั่นคงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากอิสราเอลและการลดบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาค