ราห์ดาร์ ฮุสเซน อาฟริดี ชาวปากีสถาน วัย 29 ปี กล่าวว่า รู้สึกโล่งออกและดีใจอย่างมากที่ทราบว่า จีนมีการออกวีซ่าประเภท K สำหรับ “ชาวต่างชาติรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้านสะเต็ม (STEM)”
อาฟริดีกำลังศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาหุ่นยนต์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาจะสำเร็จการศึกษาในเดือนมกราคมและหวังว่าจะได้งานทำในประเทศจีน แต่กระบวนการรับสมัครอาจใช้เวลานานและวีซ่านักศึกษาอาจหมดอายุก่อน อีกทั้งวีซ่านักศึกษาก็มิได้อนุญาตให้ทำงาน
รัฐบาลจีนเปิดตัววีซ่าประเภทK เมื่อต้นเดือนสิงหาคมและจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม เพื่อลดอุปสรรคและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ทั่วโลก โดยวีซ่าประเภทใหม่นี้มีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับอายุ ประวัติการศึกษา หรือประสบการณ์การทำงานเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องมีนายจ้างหรือหน่วยงานในประเทศรับรอง ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การออกวีซ่าประเภท Kเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงนโยบายการย้ายถิ่นฐานและการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันในภาคไฮเทคของจีน กลยุทธ์นี้ยังมุ่งหยิบฉวยจังหวะมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในช่วงที่การย้ายถิ่นฐานในส่วนอื่น ๆ ของโลกมีความเข้มงวดกวดขันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
หวัง ฮุ่ยเหยา ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยเพื่อจีนและโลกาภิวัตน์ในกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า แต่ก่อนนโยบายมุ่งดึงดูดใจชาวจีนโพ้นทะเลให้กลับมาทำงานกับบริษัทข้ามชาติ หรือเพื่อการรวมครอบครัว แต่ปัจจุบันมีการเน้นผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างชัดเจน รวมถึงมุ่งเน้นผู้ไปอยู่ในสหรัฐฯและยุโรป รวมถึงคนหนุ่มสาวจากชาติพัฒนาและชาติกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเดีย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
หลิว หง อาจารย์ด้านนโยบายสาธารณะและกิจการระหว่างประเทศประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางในสิงคโปร์คาดว่านโยบายควบคุมคนเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นของสหรัฐฯ จะช่วยผลักดันให้ชาวต่างชาติมุ่งหน้ามายังจีน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองว่า วีซ่า K ของจีนเป็นคู่แข่งโดยตรงหรือเป็นทางเลือกแทนวีซ่า H-1B ของสหรัฐฯ ซึ่งอนุญาตให้นายจ้างในสหรัฐฯว่าจ้างแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในอาชีพเฉพาะทาง
ขณะที่เดวิด ซไวก์ ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกงเตือนว่าบรรยากาศด้านการวิจัยและสภาพเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นอาจไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเหมือนอย่างนโยบายวีซ่าใหม่ที่ออกมาก็ได้
ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์