สภาธุรกิจบราซิล-จีน ( CEBC) เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อวันพฤหัสฯ ( 4 ก.ย. ) ระบุว่า จีนเพิ่มการลงทุนที่บราซิลในปี 2567มากกว่า 2 เท่าจากปีก่อนหน้า ดึงดูดเม็ดเงินลงทุน 4,200 ล้านดอลลาร์ อันเป็นผลจากการกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างชาติทั้งสอง
ปัจจุบัน บริษัทจีนกำลังลงทุนมากถึง 39 โครงการ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในบราซิล ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น ตั้งแต่ภาคพลังงาน ไปจนถึงภาคส่วนใหม่ ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า และบริการจัดส่งอาหาร ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีเหม่ยถวน ( Meituan ) และตีตี (Didi) เข้าสู่ธุรกิจปีนี้
การเพิ่มการลงทุนของจีนส่งผลให้ในบรรดาจุดหมายปลายทางของเงินทุนจากจีนในทั่วโลก บราซิลเป็นรองแค่อังกฤษและฮังการีเท่านั้น ขณะที่ในปี 2565 และ 2566 บราซิลยังอยู่อันดับที่ 9 ตามรายงานของ CEBC
อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนของจีนในบราซิลกำลังเติบโต แต่ก็ลดลงจากระดับเฉลี่ย 6,600 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในช่วงปี 2558-2562 โดยในตอนนั้นมุ่งเน้นไปที่โครงการพลังงานขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการ เช่น สายส่งไฟฟ้า และแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่ง
สำหรับสหรัฐฯ ยังคงเป็นแหล่งลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของบราซิล ด้วยเงินลงทุน 8,500 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
หัวหน้าผู้เขียนรายงานผลการศึกษาชิ้นนี้กล่าวว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการขึ้นกำแพงภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯทำให้บริษัทจีนถอนตัวจากสหรัฐฯและมองหาช่องทางขยายการลงทุนในบราซิลและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของบริษัทจีนใช่ว่าจะราบรื่นไปเสียทั้งหมด บริษัทจีนหลายแห่งยังคงประสบปัญหา เช่น ห่วงโซ่อุปทานที่มีราคาแพงกว่า ระบบภาษีที่ซับซ้อน และกฎหมายแรงงานที่เข้มงวดกว่า เช่น BYD ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนถูกอัยการบราซิลยื่นฟ้องร้องในข้อหาใช้แรงงานทาส
อีกทั้งแม้จีนเข้ามาลงทุนในบราซิลมากขึ้นก็จริง แต่โรงงานของจีนหลายแห่งยังนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนเพื่อมาประกอบขั้นสุดท้ายในบราซิล ซึ่งรวมถึงการผลิตรถไฟฟ้า การลงทุนประเภทนี้จะสร้างงานน้อยลงและกระตุ้นให้เกิดโรงงานใหม่ๆ น้อยในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิล
ทั้งนี้ ประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล และประธานาธิบดี สีจิ้นผิง แห่งจีน มีโอกาสพบปะกันอยู่หลายครั้ง โดยในปีที่แล้วพบกันถึงสองครั้งและประกาศความร่วมมือในหลายภาคส่วน ขณะที่ทรัมป์ยกระดับสงครามการค้าโดยเรียกเก็บภาษีสินค้าจากทั้งสองชาติในอัตราสูงลิ่ว
ที่มา : รอยเตอร์