กองเรือตัดน้ำแข็งและเรือวิจัยรวมทั้งสิ้น 5 ลำจากแดนมังกร เดินทางถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ หรือภูมิภาคอาร์ติก โดยถูกหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาเฝ้าประกบไม่คลาดสายตา
ปฏิบัติการสำรวจและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ มีเรือตัดน้ำแข็ง “เมดอินไชน่า” นามว่า เสวี่ยหลง 2เป็นเรือนำ จัดเป็นหนึ่งในเรือตัดน้ำแข็งเพื่อการวิจัยขั้วโลกรุ่นใหม่ล่าสุดของโลก และเป็นลำแรกที่ใช้การออกแบบตัวถังและห้องเครื่องอัจฉริยะ โดยเสวี่ยหลง 2 เดินทางสำรวจทางวิทยาศาสตร์ในอาร์กติกและในขั้วโลกใต้หรือแอนตาร์กติกามาแล้วเกือบ 10 ครั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
อีก 4 ลำได้แก่เรือเสินไห่ อี้ห่าว ติดตั้งยานดำทะเลลึกชื่อว่า จีตี้ ซึ่งมาขั้วโลกเหนือครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีเรือตัดน้ำแข็งลำใหม่ล่าสุดของจีน คือ ถันสั่ว ซานห่าวและจงซาน ต้าเสวี่ย จีตี้ซึ่งเก่าแก่ที่สุด
แอป Maritime Optima ระบุว่า เรือแล่นข้ามช่องแคบเบริ่งตามกันมาอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 7 สิงหาคม และขณะนี้กำลังปฏิบัติการอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภูมิภาคอาร์กติกกลายเป็นศูนย์กลางของการแข่งขันเชิงยุทธศาสต์ระหว่างฝ่ายพญามังกรและพญาหมีขาวรัสเซียกับฝ่ายพญาอินทรีสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จัดสรรงบประมาณเกือบ 9 พันล้านดอลลาร์สำหรับเรือตัดน้ำแข็ง โดยมองว่า ภูมิภาคอาร์กติกมีความสำคัญต่อการส่งเสริมผลประโยชน์ทางการค้าและยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯอย่างยิ่ง
ในการปรับปรุงยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วระบุว่าความร่วมมือระหว่างจีนกับรัสเซียในอาร์กติกมี "ผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และพันธมิตรและหุ้นส่วนของเรา"
การยกโขยงกันมาถึง 5 ลำ จึงเริ่มมีการเฝ้าติดตามมาตั้งแต่ก่อนที่กองเรือจะแล่นผ่านช่องแคบเบริงกันเลยทีเดียว
หน่วยยามฝั่งมะกันส่งเครื่องบิน ซี-130 เจ เฮอร์คิวลีส ขึ้นบินประกอบในทันทีที่ตรวจพบเรือเสวี่ยหลง 2 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ขณะอยู่ห่างจากเมืองอุตเกียกวิค รัฐอลาสกา ไปทางเหนือประมาณ 290 ไมล์ทะเล (537 กม.)
อ้างเหตุผลในการตอบโต้อย่างรวดเร็วว่า เรือจีนเข้ามาใกล้บริเวณ "ไหล่ทวีปชั้นนอก" ( extended continental shelf ) ซึ่งสหรัฐฯ อ้างสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เป็นการเฝ้าระวังในระยะไกล และยังไม่ถึงขั้นใช้มาตรการสกัดกั้นที่สำคัญใดๆ
ด้าน “โครงการริเริ่มการตรวจสอบสถานการณ์เชิงยุทธศาสตร์ทะเลจีนใต้”( South China Sea Strategic Situation Probing Initiative -SCSPI ) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในกรุงปักกิ่งตอบโต้ในบทความเชิงวิเคราะห์ว่า กองเรือจีนแล่นผ่านน่านน้ำสากลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยอยู่บนเส้นทางตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (Unclos) ซึ่งสหรัฐฯมิได้ลงนาม
"[Unclos] กำหนดว่าเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ไม่ควรเกิน 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต" สถาบันคลังสมองระบุ
ดังนั้น จุดที่ตรวจพบเรือเสวี่ยหลง 2 จึงไม่อยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของสหรัฐฯ
นอกจากนั้น สถาบันคลังสมองแห่งนี้ยัง ชี้ให้เห็นอีกว่า การติดตามและเฝ้าระวังเรือเสวี่ยหลง 2 อาจถือเป็นการแทรกแซงสิทธิอย่างผิดกฎหมายด้วยซ้ำต่อการใช้เสรีภาพทางทะเลตามปกติที่ได้รับจากอนุสัญญา
ทั้งนี้ ในปีพ.ศ. 2562 ( ค.ศ. 2019 ) จีนและรัสเซียได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับขั้วโลกขึ้นที่มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ฮาร์บินของจีน และหน่วยยามฝั่งชาติทั้งสองเริ่มการลาดตระเวนร่วมกันในภูมิภาคอาร์กติกเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
จีนมองว่าตนเองเป็นชาติที่ตั้งอยู่ใกล้อาร์กติกและเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในกิจการของภูมิภาค ส่วนรัสเซียมีกองเรือประจำขั้วโลกใหญ่ที่สุดในโลก คือ 55 ลำ และเป็นชาติเดียวที่สามารถผลิตเรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ได้
นอกเหนือจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้ว จีนและรัสเซียยังกำลังสำรวจศักยภาพเชิงพาณิชย์ในการพัฒนาเส้นทางขนส่งทางเรือในอาร์กติก ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกับยูเรเซียตะวันตกที่สั้นสุดอีกด้วย
ที่มา : SCMP