MGR Online / CGTN : ปีนี้เป็นวาระครอบรอบ 80 ปีของสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น หรือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลายประเทศเรียกว่า “สงครามต่อต้านฟาสซิสต์” ประเทศจีนให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้ เพราะสะท้อนถึงความกล้าหาญ ความสามัคคี ความมุ่งมั่น ของชาวจีนทั้งมวลที่ร่วมแรงร่วมใจปกบ้านป้องเมือง
ในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 เปิดฉากขึ้นเมื่อนาซีเยอรมนีบุกโปแลนด์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 แต่ ณ เวลานั้นจีนได้ต่อสู้กับการรุกรานของญี่ปุ่นมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว จีนเผชิญกับการโจมตีของทหารญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 1931 หรือ 10 ปีก่อนการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์
สงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นระหว่างปี ค.ศ. 1931 ถึง 1945 มีทหารและประชาชนชาวจีนมากกว่า 35 ล้านคนเสียชีวิต การต่อต้านญี่ปุ่นของจีนมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ให้จีนได้เป็นหนึ่งในห้าของสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
การรุกรานของญี่ปุ่นเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 1931 กองทัพญี่ปุ่นได้จัดฉากเหตุการณ์ที่เมืองเสิ่นหยาง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนโดยใช้เป็นข้ออ้างในการบุกจีน โดยช่วงนั้น รัฐบาลก๊กมินตั๋งของจีนได้ใช้นโยบาย “ไม่ต่อต้าน” โดยหวังพึ่งเวทีโลกอย่างสันนิบาตชาติ ช่วยคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่จีน
อย่างไรก็ตาม นายพลหม่า จ้านซาน ซึ่งขณะนั้นเป็นรักษาการผู้ว่าการมณฑลเฮยหลงเจียง เลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามนโยบายไม่ต่อต้าน กองทัพของหม่าได้ต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นนานครึ่งเดือนในเดือนพฤศจิกายน การรบจบลงด้วยการที่กองทัพของนายพลหม่าซึ่งมีกำลังพลน้อยกว่าต้องล่าถอยออกจากพื้นที่ แต่เขาก็กลายเป็นวีรบุรุษของชาติจากการต่อต้านการรุกรานอย่างกล้าหาญ
ผู้ผลิตบุหรี่รายหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ถึงขนาดตั้งชื่อยี่ห้อบุหรึ่ “หม่า จ้านซาน” ตามชื่อนายพลวีรบุรุษ และบริจาครายได้ส่วนหนึ่งของบุหรี่ยี่ห้อนี้เพื่อเป็นทุนในการต่อต้านญี่ปุ่น เรื่องราวของหม่าเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมกองทัพอาสาสมัครที่ทำสงครามกับญี่ปุ่นในพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
ในช่วงทศวรรษ 1930 ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม ภาคการผลิตและเหมืองแร่มีมูลค่ามากกว่าภาคเกษตรกรรมถึงสองเท่า ในขณะที่จีนยังคงเป็นสังคมเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ก้าวหน้ากว่าทางเทคโนโลยี กองทัพจีนมีเพียงความกล้าหาญ ความสามัคคี และความมุ่งมั่นเท่านั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพชั้นยอดของญี่ปุ่น กองทัพจีนที่อาวุธไม่เพียงพอต้องใช้มีดดาบเพื่อโจมตีค่ายข้าศึกยามเที่ยงคืน
กลุ่มทหารจีน 500 นายซึ่งพร้อมพลีชีพสังหารทหารญี่ปุ่นได้กว่า 700 นายด้วยมีดดาบและอาวุธที่มีอยู่อย่างจำกัด ก่อนออกเดินทางไปโจมตี พวกเขาได้ให้คำสาบานว่า "ตายอย่างนักรบ ดีกว่าเป็นทาสของชาติที่ถูกยึดครอง”....ทหารจีนรอดชีวิตจากภารกิจนี้เพียง 23 นาย
ตั้งแต่ปี 1931 ถึง 1937 สงครามต่อต้านญี่ปุ่นส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน แต่ว่าความทะเยอทะยานทางการทหารของญี่ปุ่นไม่ได้อยู่แค่การยึดครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ญี่ปุ่นรอคอยเวลาที่จะเปิดฉากการรุกรานจีนอย่างเต็มรูปแบบ
สถานการณ์ในประเทศจีนช่วงนั้น รัฐบาลก๊กมินตั๋งที่นำโดยเจียงไคเช็กหมกมุ่นอยู่กับการทำสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แทนที่จะต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ท่าทีของเจียงไคเช็กทำให้ญี่ปุ่นฮึกเหิม และรุกรานจีนมากยิ่งขึ้น
ในปี 1935 ญี่ปุ่นจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดที่ควบคุมโดยญี่ปุ่นในภาคเหนือของจีน ความรู้สึกถึงวิกฤตการณ์ระดับชาติเริ่มก่อตัวขึ้น ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศเรียกร้องให้ประชาชนชาวจีนทุกคนระดมพลโดยสมัครใจเพื่อต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น รวมถึงเรียกร้องให้มีการจัดตั้งแนวร่วมกับพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเสนอให้ยุติการต่อสู้กับพรรคก๊กมินตั๋ง เพื่อร่วมกันปกบ้านป้องเมือง
เจียงไคเช็กถูกนายพล 2 นายลักพาตัวไปในเมืองซีอานทางตอนเหนือในปลายปี 1936 เพื่อกดดันให้ร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น โดย โจวเอินไหล แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ ได้ช่วยเจรจาต่อรองให้ปล่อยตัวเจียงไคเช็ก หลังจากนั้น เจียงไคเช็กก็ตกลงว่าจะร่วมมือทุกพรรคเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น
มวลชนชาวจีนทั้งปวงร่วมแรงร่วมใจทำสงครามเต็มรูปแบบกับญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1937 ถึง 1945 เพลงชาติจีนมีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า "หลายล้านดวงใจรวมใจฝ่าฟันกระสุนปืนของข้าศึก ก้าวเดินต่อไป" เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของความสามัคคีของชาติจีนในขณะนั้น แม้ว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเป็นผู้แต่งเนื้อเพลง แต่ความนิยมของเพลงนี้ก็แผ่ขยายออกไปไกลมากกว่าอุดมการณ์ทางการเมือง
กองทัพญี่ปุ่นได้กระทำการโหดร้ายทารุณต่อประชาชนชาวจีน รวมถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิง จนมีการคาดการณ์ว่าจีนจะยอมแพ้ในไม่ช้า แต่ชาวจีนทั้งมวลไม่เคยคิดจะยอมศิโรราบ
การต่อต้านของชาวจีนทำให้ญี่ปุ่นถูกบังคับให้คงทหารมากกว่า 1 ล้านนายไว้ในจีนตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ทรัพยากรทางทหารของโตเกียวในการต่อสู้กับความขัดแย้งกับมหาอำนาจอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา อ่อนแอลงอย่างมาก
ยุติความขัดแย้ง ร่วมใจต่อต้านผู้รุกราน
ในช่วงสงครามเต็มรูปแบบ กองกำลังก๊กมินตั๋งได้ต่อสู้ในสมรภูมิสำคัญๆ เพื่อปกป้องเมืองสำคัญของจีน ขณะที่ กองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและมีอาวุธยุทโธปกรณ์น้อยกว่าใช้ปฏิบัติการกองโจรโจมตีญี่ปุ่น การต่อต้านทั้งสองรูปแบบมีบทบาทสำคัญและมีการประสานงานกัน โดยไม่แบ่งแยกอุดมการณ์ทางการเมือง
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1940 หยาง จิงอวี้ ผู้บัญชาการกองกำลังต่อต้านญี่ปุ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สูญเสียทหารทั้งหมด แต่เขายังคงสู้รบเพียงลำพังต่อไปอีกห้าวันท่ามกลางความหนาวเย็นและสภาพที่เขาไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน หยางถูกต้อนจนมุมและถูกสังหารในที่สุด หลังจากการชันสูตรพลิกศพ ทหารญี่ปุ่นพบเพียงเปลือกไม้ ใยฝ้าย และรากหญ้าในกระเพาะของหยาง ไม่มีอาหารเหลืออยู่เลย
แม้ว่าจีนจะเป็นรองญี่ปุ่นอย่างมากในทุกด้าน แต่จีนยืนหยัดได้เพราะประชาชนทั้งมวลมุ่งมั่นในการขับไล่ผู้รุกราน นายพลของจีนทั้งฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ และฝ่ายก๊กมินตั๋ง ปลุกใจกองทหารด้วยคำว่า “จงคืนแผ่นดินของข้า” 还我河山ซึ่งเป็นอักษรที่นายพลงักฮุย ผู้รักชาติแห่งราชวงศ์ซ่ง เคยใช้ในการต่อสู้กับผู้รุกรานในอดีต
นอกจากความกล้าหาญของทหารจีนแล้ว ประชาชชาวจีนยังร่วมแรงร่วมใจต่อต้านญี่ปุ่น ก่อนการรบที่ฉางชาในปี 1939 ชาวบ้านได้ทุบทำลายถนนสายหลักเกือบทั้งหมดในเมือง เพื่อสกัดไม่ให้กำลังพลและยุทโธปกรณ์ของญี่ปุ่นรุกคืบนักประวัติศาสตร์ประเมินว่า ตลอดการรบ 3 ครั้งเพื่อป้องกันเมืองฉางซา มีประชาชนกว่า 1 ล้านคนช่วยเหลือกองทัพจีน ทั้งการรวบรวมข่าวกรอง
การส่งอาหารและยา และกิจกรรมอื่นๆ
ช่วงเวลาเกือบ 10 ปีที่ญี่ปุ่นรุกรานจีน มีเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความสามัคคี และความเสียสละ ของเหล่าทหารและประชาชนจีน เพื่อต่อต้านผู้รุกราน และปกบ้านป้องเมือง จิตวิญญาณเช่นนี้ทำให้ประเทศจีนยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางความสูญเสียอย่างมหาศาล และนี่คือเหตุผลที่จีนภาคภูมิใจในชาติ และมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองอย่างสันติในทุกวันนี้.
อ่านบทความต้นฉบับที่ : War of Resistance: An epic of bravery, unity & perseverance