โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ช่วงนี้ในประเทศเราคงไม่มีข่าวไหนเป็นกระแสมากเท่าความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ถึงแม้ว่าจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันแล้ว แต่ก็ความขัดแย้งยังร้อนระอุอยู่ โดยเฉพาะการโต้แย้งกันทางโซเซียลมีเดียที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลง ความเคลื่อนไหวของกัมพูชาบนเวทีโลกยังคงเป็นที่จับตาของชาวไทย และข่าวล่าสุดที่เรียกเสียงฮือฮาอีกครั้งเมื่อรัฐบาลกัมพูชาอวยประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จนออกนอกหน้า ว่าเป็นผู้สมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เนื่องจากเป็นผู้ทำให้การหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาเกิดขึ้น ในกรุงพนมเปญไม่เพียงขึ้นป้ายชื่นชมโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีการฉายสารคดีชีวประวัติของนาย ทรัมป์ ให้ประชาชนในประเทศได้รับชมอีกด้วย พฤติกรรมของรัฐบาลกัมพูชาที่อวยสหรัฐฯจนออกนอกหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีสนับสนุนจีนอย่างชัดเจน ทำให้กลายเป็นเรื่องขบขันของชาวโซเซียลทั้งในไทยและต่างประเทศ
เนื้อหาจดหมายของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ที่ส่งถึงคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแห่งนอร์เวย์ เสนอชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เหตุผลคือ ทรัมป์มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงบริเวณชายแดนกัมพูชา–ไทย โดยใช้วิธีการทางการทูตที่มองการณ์ไกลและสร้างสรรค์ จนทำให้ทั้งสองประเทศหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ป้องกันไม่ให้เกิดสงครามใหญ่ที่อาจคร่าชีวิตจำนวนมาก และเป็นการปูทางให้สองประเทศกลับมามีความสัมพันธ์อย่างสันติ ฮุน มาเนต ยังระบุว่า นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการลดความตึงเครียดในพื้นที่ความขัดแย้งทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอัลเฟรด โนเบล ที่มุ่งเชิดชูผู้สร้างคุณูปการต่อมิตรภาพระหว่างประเทศและสันติภาพโลก!
มีการกล่าวกันว่า กัมพูชาไม่ใช่เพียงการแสดงความขอบคุณเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความชำนาญเชิงยุทธศาสตร์ของกัมพูชาในการเล่นเกมการเมือง โดยเฉพาะแผนหลีกเลี่ยงการพึ่งพาจีนมากเกินไป โซฟาล เอียร์ (Sophal Ear) รองศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์เชื้อสายกัมพูชาจากสถาบันการจัดการกซันเดอร์เบิร์ด มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ ระบุว่า ความหมายที่แท้จริงของการเสนอชื่อครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่การยอมรับความสามารถของทรัมป์ในการไกล่เกลี่ยเพื่อสันติภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนการวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ของกรุงพนมเปญด้วย เขากล่าวอีกว่า “นี่เป็นมากกว่าท่าทีเชิงสัญลักษณ์ ต้นทุนต่ำ เป็นวิธีเอาใจประธานาธิบดีสหรัฐฯที่คาดเดาได้ยากและมีแนวคิดแบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์” แม้ว่าจีนและอาเซียนจะมีส่วนร่วมในกระบวนการไกล่เกลี่ยให้กัมพูชาและไทยหยุดยิง แต่รัฐบาลกัมพูชากลับหลีกเลี่ยงการกล่าวขอบคุณอย่างเปิดเผย
โดยจีนซึ่งเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การทหาร และการทูตแก่กัมพูชามากที่สุด แต่การปะทะกับไทยในรอบนี้จีนเลือกที่จะระมัดระวังและอยู่เบื้องหลัง แตกต่างจากทรัมป์ที่เลือกใช้วิธีแทรกแซงอย่างเปิดเผย รวดเร็ว นักวิชาการบางคนมองว่า “หากกัมพูชาออกมาเน้นย้ำบทบาทของจีนอย่างเปิดเผย อาจทำให้ภาพลักษณ์ของอาเซียนถูกลดทอน และกระตุ้นให้ชาติมหาอำนาจอื่นในภูมิภาคเกิดความไม่พอใจต่อการขยายอิทธิพลของจีน ดังนั้นกัมพูชาจึงเลือก “ลดน้ำหนักการกล่าวถึงบทบาทของจีนลง”
กัมพูชาเพียงแค่เล่นเกมการเมืองเชิงความจริง (Realpolitik) พวกเขารู้ว่าทรัมป์เป็นผู้นำแบบเน้นการต่อรองและนี่คือหนึ่งในวิธีที่จะได้ใจทรัมป์” และถึงแม้กัมพูชาจะมีหลายวิธีในการรักษาความสัมพันธ์กับจีน แต่ความกังวลต่อการพึ่งพาจีนมากเกินไปได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญของผู้นำกัมพูชา ดังนั้น “การรักษาท่าทีที่เป็นมิตรต่อสหรัฐฯ พร้อมทั้งดำเนินยุทธศาสตร์การทูตแบบเปิดกว้างและคลุมเครือ จึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสมดุลทางนโยบายของประเทศกัมพูชา” สิ่งที่รัฐบาลกัมพูชาทำสะท้อนให้เห็น “แนวทางการทูตเชิงยุทธวิธีและฉวยโอกาส” ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติและพื้นที่ความยืดหยุ่น มากกว่าการยึดมั่นในจุดยืนเชิงอุดมการณ์ระยะยาว อย่างเช่นวันนี้อาจเป็นทรัมป์ พรุ่งนี้ก็อาจจะเป็นผู้นำจีนคนใดคนหนึ่งก็เป็นไปได้!
หนึ่งในประเทศที่ให้ความใส่ใจในท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาคือ จีน เพราะจีนให้การช่วยเหลือกัมพูชาในหลายด้านมาโดยตลอด หลังจากท่าทีการอวยสหรัฐฯอย่างออกนอกหน้าของฮุนมาเนต ทำให้สื่อจีนมีการนำเสนอข่าวดังกล่าวและชาวจีนจำนวนไม่น้อยที่ติดตามข่าวก็แสดงความคิดเห็นกันมากมาย มีสื่อจีนหนึ่งพาดหัวข่าวว่า “หลบจีนพึ่งสหรัฐฯ?” ชาวเน็ตจีนก็มีการให้ความเห็นที่รุนแรงเช่น “ไม่รู้บุญคุณ เชื่อถือไม่ได้หรือตระกูลฮุนต้องมีสักวันที่ถูกโค่นล้ม” เป็นต้น
มีชาวเน็ตจีนรายหนึ่งออกมาให้ความเห็นถึงเหตุผลที่รัฐบาลจีนไม่ออกมาสนับสนุนกัมพูชาอย่างเปิดเผยในครั้งนี้ก็เพราะผู้นำได้เปลี่ยนไปแล้ว โดยระบุว่าฮุน มาเนต ลูกชายของฮุน เซน เป็นศิษย์เก่าจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ของสหรัฐฯ และซึมซับแนวคิดแบบตะวันตกมาเป็นเวลานาน สมัยฮุน เซน บริหารประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชาแน่นแฟ้นมาก จีนมองว่ากัมพูชาเป็นเพื่อนแท้ ช่วยกันพัฒนาประเทศ ทั้งด้านการก่อสร้าง การเกษตร และสาธารณสุข เช่น การก่อสร้างถนนจากพนมเปญไปสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นทางด่วนเส้นแรกที่ได้มาตรฐานในกัมพูชา, ศูนย์สาธิตการเกษตรที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีข้าวลูกผสมจนกัมพูชาจากที่เคยขาดแคลนข้าวกลายเป็นผู้ส่งออกข้าว, การสร้างถนนในเขตชนบทเกือบพันกิโลเมตรให้สินค้าจากพื้นที่ห่างไกลออกมาขายได้, การสร้างศูนย์ควบคุมโรคระดับชาติ และการให้วัคซีนฟรีในช่วงโควิด-19 ทั้งหมดนี้คือความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเกิดจากความร่วมมือแบบเคารพซึ่งกันและกัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมั่นคง
แต่เมื่อฮุน มาเนต ขึ้นสู่อำนาจในปี 2023 สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เขามีแนวความคิดแบบตะวันตกและเริ่มต้นงานด้านการทูตด้วยการไปเยือนสหรัฐฯ ก่อน พร้อมบอกว่าจะ “ทำการค้ากับตะวันตกให้มากขึ้น” ซึ่งต่างจากยุคสมัยของพ่อ ตั้งแต่ฮุน มาเนต ขึ้นมารับตำแหน่ง “จีนก็เริ่มตั้งการ์ดกับความสัมพันธ์กัมพูชา” (ด้วยพื้นเพการศึกษาในสหรัฐฯทำให้แนวคิดอาจจะฝักใฝ่ตะวันตก)
ในปี 2024 โครงการขุดคลองเตโชฟูนันซึ่งจีนกับกัมพูชาร่วมลงทุนเกิดปัญหา เดิมทีตกลงกันว่าบริษัทจีนถือหุ้น 51% ลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีการขุดและบริหารงานของคลองนี้ทั้งหมด แต่ฮุน มาเนต กลับเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ขอให้กัมพูชาถือหุ้น 51% โดยอ้างว่า “ต้องรักษาอธิปไตยของชาติ” ผลที่ตามมาคือโครงการฯนี้หยุดชะงักลง และไม่ใช่แค่โครงการนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ร่วมมือกับจีนก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน
ช่วงครึ่งหลังของปี 2024 กัมพูชาประกาศทบทวนเงื่อนไขเขตเศรษฐกิจพิเศษ ลดระยะเวลาการยกเว้นภาษีให้กับบริษัทจีน โดยให้เหตุผลปกป้องอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ซึ่งจริงๆ จีนมองว่าคือการเปลี่ยนข้อตกลงฝ่ายเดียวและไม่แฟร์
หลักการของจีนง่ายๆ คือการร่วมมือกันต้องเชื่อใจกัน ถ้าจะพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันก็ต้องรักษาสัญญาตามข้อตกลง สมัยฮุน เซน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชาดีเพราะทั้งสองฝ่ายต่างรักษาสัญญา แต่รัฐบาลฮุน มาเนต ต้องการผลประโยชน์จากจีนแต่ก็ไม่ยึดถือตามข้อตกลงเดิม จีนมองว่า ไม่ใช่ว่าจีนเปลี่ยนท่าทีต่อกัมพูชา แต่เป็นรัฐบาลฮุน มาเนตที่เปลี่ยนวิธีการปฏิบัติต่อจีนมากกว่า และเมื่อกติกาเดิมถูกทำลาย ความสัมพันธ์ก็ต้องถูกชั่งน้ำหนักกันใหม่
ผู้เขียนพบว่าชาวเน็ตจีนไม่น้อยมีความเข้าใจการเมืองของกัมพูชา โดยบางส่วนมองว่า ตระกูลฮุนยึดครองอำนาจมายาวนาน มีการคอรัปชันหนัก ยึดอำนาจกษัตริย์ ชาวกัมพูชาต้องมีวันหนึ่งที่ตาสว่างและลุกขึ้นมาต่อสู้กับตระกูลนี้ บางความเห็นบอกว่าที่ผ่านมารัฐบาลจีนสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ซึ่งปัจจุบันไม่มีอำนาจและไม่มีทหารในมือเลย ดังนั้นที่จีนสนับสนุนกัมพูชามาโดยตลอดไม่ใช่เพราะตระกูลฮุน! อีกทั้งชาวเน็ตจีนที่รู้ประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพูชา ยังกล่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่มีความจริงใจและกลับกลอก บางคนสนับสนุนให้มีรการเปลี่ยนผู้นำกัมพูชาคนใหม่ ที่ไม่ใช่มาจากตระกูลฮุน เป็นต้น
ในภาพรวมสถานการณ์ระหว่างประเทศมีความซับซ้อน สหรัฐฯ กำลังพยายามดึงประเทศอาเซียนให้ร่วมมือเพื่อต่อต้านจีน เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนามที่มีสหรัฐฯหนุนอยู่เบื้องหลังอย่างชัดเจน ด้วยที่ตั้งของประเทศกัมพูชามีความสำคัญในคาบสมุทรอินโดจีน การที่รัฐบาลฮุน มาเนต เอนเอียงไปทางตะวันตก ทำให้คนตั้งคำถามว่าสรุปแล้วกัมพูชาจะเลือกข้างไหนในเกมนี้
สำหรับจีนแล้วมีท่าทีที่ระมัดระวัง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชาที่ซับซ้อนมากขึ้น หลังจากผู้นำรุ่นใหม่ของกัมพูชา นายฮุน มาเนตได้ขึ้นมาและเริ่มมีสัญญาณปรับทิศทางนโยบายให้มีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ โดยที่ต้องการความร่วมมือกับจีนและสานต่อในหลายๆด้าน จีนเองก็ให้ความสำคัญกับกัมพูชามากเพราะทุ่มเทไปแล้วไม่น้อย ทำให้ต่อจากนี้จีนต้องระวังไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชาดูตึงเครียด จีนไม่ต้องการแสดงท่าทีที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของตนในภูมิภาค หรือทำให้อาเซียนและประเทศเพื่อนบ้านอื่นรู้สึกว่า กำลังถูกบีบให้เลือกข้างอย่างชัดเจน สรุปแล้วจีนมองว่าความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องบริหารด้วยความระมัดระวัง