ความตึงเครียดของสงครามการค้า ต้นทุนที่สูงขึ้น และการแสวงหาความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้บริษัทจีนและต่างชาติต้องกระจายการผลิตออกไปจาก "โรงงานของโลก" อันเป็นฉายาเรียกขานจีน
การย้ายห่วงโซ่อุปทานที่กำลังเกิดขึ้นในทั่วโลกขณะนี้ กลายเป็นโอกาสทองที่ไม่คาดฝันสำหรับบริษัทแดนมังกรที่ผลิตหุ่นยนต์สำหรับใช้ในโรงงาน
ตามข้อมูลของสำนักงานศุลกากรจีน การส่งออก “หุ่นยนต์โรงงาน” ของจีนในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นเกือบ 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นมูลค่า 746 ล้านดอลลาร์
การส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นในขณะที่มีการย้ายการผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังเวียดนาม เม็กซิโก และไทย จุดหมายปลายทางยอดนิยมสามอันดับแรก ตามการคำนวณของเดอะสเตรตส์ไทมส์
นี่เป็นสิ่งตอกย้ำถึงการโยกย้ายกำลังการผลิตออกไปจากจีนแผ่นดินใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยหุ่นยนต์ที่ส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าระดับล่างสำหรับภาคยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ดร. ตาน หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายจีนของบริษัทที่ปรึกษายูเรเซียกรุ๊ป ( Eurasia Group) ระบุ
เมื่อบริษัทจีนขยายไปต่างประเทศ ก็จะนำซัปพลายเออร์ “หุ่นยนต์โรงงาน”ในประเทศไปด้วย นายซู เหลียน เจย์ หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยเทคโนโลยีออมเดีย ( Omdia ) ในสิงคโปร์ กล่าว
เซี่ยซัน โรบอต แอนด์ ออโตเมชั่น (Siasun Robot & Automation) เข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทยในปี 2564 ก็มีผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเป็นลูกค้ารายแรก ลูกค้ารายนี้เคยใช้หุ่นยนต์ของเซี่ยซันในประเทศจีนและได้ว่าจ้างให้บริษัทติดตั้งสายการผลิตใหม่ในประเทศไทย
นอกจากนั้น บริษัทต่างชาติบางแห่งที่เคยเป็นลูกค้าในจีน ยังได้สั่งซื้อเพิ่มเติมสำหรับโรงงานในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเยอรมนี ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัท
ผลิตภัณฑ์ของเซี่ยซันได้แก่ รถเคลื่อนย้ายสินค้าอัตโนมัติไปรอบๆ โรงงาน โกดัง และท่าเรือ รวมถึงแขนหุ่นยนต์ 6 แกนสำหรับทำงานต่างๆ เช่น การเชื่อมรถยนต์
บริษัทส่งออกเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจากปี 2563 เป็น 507 ล้านหยวน ในปี 2567 ตามรายงานผลประกอบการ
บริษัทจากา โรโบติกส์ (Jaka Robotics) ในเซี่ยงไฮ้ ได้รับโอกาสทางการตลาดอย่างมาก เมื่อลูกค้ารายใหญ่ของจากาในจีน เช่น บริษัทโตโยต้าของญี่ปุ่น บริษัทเฟล็กซ์โทรนิคส์ (Flextronics) ของอเมริกาและลักซ์แชร์ พรีซิชั่น (Luxshare Precision) ของจีน ย้ายเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และต้องการความสามารถในการผลิตใหม่ๆ
หุ่นยนต์ของจากาสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย โดยถูกนำไปใช้งานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การลงทุนโดยตรงของบริษัทจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งสูงขึ้น 34.7% ในปี 2566 ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต
ปัจจุบันจีนมีบริษัทเกี่ยวกับหุ่นยนต์มากกว่า 930,000 แห่ง ผลิต “หุ่นยนต์โรงงาน” ได้ 369,316 ยูนิตในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 35.6 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการ อันเป็นผลจากการเริ่มสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตหุ่นยนต์และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ในปี2558
การแข่งขันที่ดุเดือดในประเทศทำให้ บริษัทผู้ผลิตจีนต้องหันไปขยายธุรกิจในต่างประเทศ เช่น สปีดบอต โรโบติกส์ (Speedbot Robotics ) ผู้ผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมอัจฉริยะ รวมถึงหุ่นยนต์ที่สามารถสแกนและตรวจจับข้อบกพร่องในการพ่นสีในโรงงานผลิตรถยนต์ มีแผนขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์กำลังเติบโต
นายซูแห่งบริษัทออมเดียกล่าวว่า ปัจจุบันญี่ปุ่นและยุโรปยังครองตลาด “หุ่นยนต์โรงงาน” ในระดับนานาชาติ โดยหุ่นยนต์เทคโนโลยีขั้นสูงของทั้งสองถูกบูรณาการเข้ากับระบบของลูกค้า และได้รับการยกย่องในเรื่องความน่าเชื่อถือและความแม่นยำ
อย่างไรก็ตาม “หุ่นยนต์โรงงาน”ของจีนก็มีราคาที่แข่งขันได้ โดยถูกกว่าคู่แข่งต่างชาติราว 30-35% ผู้ผลิตจีนจึงกำลังขยายส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ที่มา : เดอะ สเตรตส์ไทมส์