หลังจากเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนอารยธรรมโลกในกรุงปักกิ่งระหว่างวันที่ 10-11 ก.ค.ที่ผ่านมา ทีมผู้ดูแลจากทบวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำคณะผู้สื่อข่าวจากเอเชียและแอฟริกา 12 ประเทศ เดินทางมายังเมืองเหยียนอัน (延安) ซึ่งอยู่ในมณฑลส่านซีทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เหยียนอันเป็นเมืองที่มีความหมายอย่างยิ่งยวดในประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์จีน เนื่องจากเคยเป็นฐานที่มั่นในการต่อสู้ปฏิวัติจีนใหม่ ที่นำโดยกลุ่มผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตง จูเต๋อ โจวเอินไหล เหรินปี้สือ หลิวเส้าฉี ฯลฯ
คณะสื่อเอเชียและแอฟริกา โดยสารเที่ยวบินในตอน 5 โมงเย็นของวันที่ 11 ก.ค. จากปักกิ่งมายังเมืองเหยียนอันโดยใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า และเข้าพักที่ “สถาบันศึกษาการนำแห่งจีน” (中国延安干部学院/China Executive Leadership Academy ชื่อย่อ CELAY) ภารกิจหลักๆของ CELAY เป็นสถาบันการศึกษาว่าด้วยหลักทฤษฎีและจิตวิญญาณพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมุ่งเน้นการศึกษาแนวคิดของสีจิ้นผิงว่าด้วยลัทธิสังคมนิยมแบบอัตลักษณ์จีนแห่งยุคใหม่
ในตอนเช้า ผู้บริหาร CELAY พาคณะผู้สื่อจีนมายัง เป่าถ่าซัน (宝塔山) หรือ เขาเจดีย์ สำหรับเจดีย์โบราณที่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาแห่งนี้เริ่มก่อสร้างในยุคราชวงศ์ถังต่อมามีการบูรณะในยุคราชวงศ์หมิง เป่าถ่าซันเป็นสัญลักษณ์เมืองเหยียนอันอีกทั้งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของการปฏิวัติจีนนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองทัพแดงเดินทางมาถึงเหยียนอัน และตั้งฐานที่มั่นการต่อสู้ปฏิวัติเป็นเวลานาน 13 ปี ( ค.ศ. 1935-1948) จนบรรลุชัยชนะและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949
หลังจากนั้นคณะผู้สื่อข่าวได้มาที่อนุสรณ์สถานรำลึกการปฏิวัติแห่งเหยียนอัน ซึ่งเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการรำลึกประวัติศาสตร์การต่อสู้ปฏิวัติ 13 ปี ในเมืองเหยียนอัน
ขอเล่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างย่อๆก่อนที่จะมาตั้งฐานที่มั่นการปฏิวัติในเมืองเหยียนอัน... พรรคคอมมิวนิสต์จีน (中国共产党/Communist Party of China)ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 ขณะนั้นเป็นยุคระบอบการปกครองสาธารณรัฐจีนภายใต้การปกครองของพรรคก๊กมินตั๋ง(国民党/Kuomingdang)หรือพรรคชาตินิยม พรรครัฐบาลก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นแนวร่วมปฏิวัติต่อต้านระบอบจักรพรรดิและระบอบศักดินาจากปี 1923 แต่แนวร่วมฯนี้ได้แตกหักในปี 1927 หลังจากที่ประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค (蒋介石)ผู้นำพรรครัฐบาลก๊กมินตั๋ง กลัวการขยายอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและได้สั่งปฏิบัติการกวาดล้างสังหารหมู่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หลายร้อยคน
กลุ่มผู้นำและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องหลบหนีซ่อนตัวทำงานใต้ดินตามพื้นที่ต่างๆของประเทศจีน ระหว่างนี้เกิดเหตุการณ์สำคัญหนึ่งคือ “การลุกฮือที่เมืองหนันชาง” (南昌起义) มณฑลเจียงซี นำโดยโจวเอินไหล เฮ่อหลง เย่ถิง จูเต๋อ เป็นต้น พร้อมกับก่อตั้งกองทัพปฏิวัติของพรรคฯขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม 1927 ในที่สุดกลุ่มผู้นำพรรคฯได้มารวมตัวกันต่อสู้สงครามปฏิวัติร่วมกับเหมาเจ๋อตงที่ฐานที่มั่นการต่อสู้ในชนบทบริเวณเขตภูเขาในเมืองจิ่งกังซัน (井冈山/Jingganshan ) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณพรมแดนมณฑลหูหนันกับเจียงซี
รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งรุกปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์อย่างหนักหน่วง จนกระทั่งในเดือนตุลาคม ปี 1934 พรรคคอมมิวนิสต์จีนนำกำลังทหารและประชาชนจำนวนหนึ่งถอยออกจากจิ่งกังซานโดยเดินเท้าฝ่าเขตทุรกันดารของภาคตะวันตกจีนเป็นระยะทาง 25,000 ลี้ หรือ 12,500 กิโลเมตร ที่เรียกขานว่า “การเดินทัพทางไกล” (长征/Long March)รวมระยะเวลาการเดินทางราว 368 วัน การเดินทัพทางไกลนี้ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นวีรกรรมกล้าหาญยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ โดยเป็นการเผชิญหน้ากับความเป็นความตายอย่างกล้าหาญที่สุด
ระหว่างการเดินทัพทางไกล มีการประชุมใหญ่ของกรมการเมือง (政治局/Poliburo)ที่เมืองจุนอี้ มณฑลกุ้ยโจวในเดือนมกราคม ปี 1935 เหมาเจ๋อตง ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำของกรมการเมืองและกองทัพแดง และมีบทบาทชี้นำพรรคฯนับจากนั้นเป็นต้นมา
“การเดินทัพทางไกล” สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 1935 เมื่อพรรคฯและกองทัพแดงเดินทางมาถึงตำบลอู๋ฉี่ในเขตภาคเหนือของมณฑลส่านซี หรือส่านเป่ย (陕北) โดยเหมาเจ๋อตงได้ตัดสินใจตั้งฐานที่มั่นการต่อสู้ที่ส่านเป่ย สองเดือนต่อมา (กลางเดือนธันวาคม 1935) พรรคฯเปิดการประชุมกรมการเมืองและกำหนดยุทธศาสตร์การเมืองต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นที่เคลื่อนกองกำลังเข้ามารุกรานแผ่นดินจีน
ในเดือนมกราคม ปี 1937 องค์กรการนำของพรรคฯเข้ามาตั้งฐานที่มั่นในเมืองเหยียนอันของภาคเหนือมณฑลส่านซี เหยียนอัน เปรียบเสมือน “เมืองหลวง” ของฐานที่มั่นการต่อสู้ปฏิวัติ ที่ไม่เพียงกำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การสู้รบทั้งสงครามภายในกับรัฐบาลก๊กมินตั๋งและสงครามภายนอกจากญี่ปุ่น ยังเป็นสถานที่ที่เหมาเจ๋อตงและกลุ่มผู้นำพรรคฯได้กำหนดแนวคิดการต่อสู้ของพรรคฯเป็นมาตรฐานเป็นแนวเดียวกัน วางพื้นฐานแนวคิดสู่ชัยชนะในการปฏิวัติทฤษฎีประชาธิปไตยแบบใหม่ โดยเหมาเจ๋อตงได้ประยุกต์ควบรวมลัทธิมาร์กซและลัทธิเลนินกับหลักการปฏิบัติได้จริงในการต่อสู้ปฏิวัติจีน
อีกช่วงหนึ่งที่ขอกล่าวถึงคือช่วงปี1937-1945 พรรคคอมมิวนิสต์ได้ร่วมมือกับพรรคก๊กมินตั๋งจัดตั้งแนวร่วมต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น
ระหว่างสงครามขับไล่กองทัพญี่ปุ่น พรรคฯได้ปลุกความรักชาติในหมู่สมาชิกพรรคฯและดึงดูดผู้เข้าร่วมจำนวนมาก
เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม สงครามโลกครั้งที่สองสงบลงในปี1945 สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ขยายจำนวนกว่าล้านคน
ในการประชุมสมัชชาพรรคฯครั้งที่ 7 ปี 1945 ความคิดของเหมาเจ๋อตง “แสวงหาสัจจะจากสภาพความเป็นจริง” (实事求是 /Seek truth from Facts)ได้ถูกรับรองอย่างเป็นทางการในธรรมนูญพรรคฯ และได้กลายเป็นหลักชี้นำทางอุดมการณ์พรรคฯนับจากนั้นมา
ซึ่งต่อมา เติ้ง เสี่ยวผิง กล่าวว่า “มาร์กซ์ และเองเกลส์ ได้สร้างหลักแนะแนวทางอุดมการณ์ สหายเหมาเจ๋อตง ได้สรุปหลักแนะแนวเหล่านี้โดยใช้อักษรจีนสี่คือ 实事求是 (อ่านว่า สือซื่อฉิ่วซื่อ) อันหมายถึง “แสวงหาสัจจธรรมจากสภาพความเป็นจริง”
“แสวงหาสัจจธรรมจากสภาพความเป็นจริง” ยังเป็นหลักแนวทางของพรรคฯมาถึงทุกวันนี้ ที่จีนกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการฟื้นฟูใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 โดย “ไม่ลืมจิตวิญญาณดั้งเดิม”(不忘初心)ดังที่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงได้กล่าวเสมอมา