โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ในช่วงนี้คงไม่มีสถานการณ์และข่าวไหนที่คนไทยให้ความสำคัญและติดตามกัน เท่ากับสถานการณ์การสู้รบบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาอีกแล้ว ก่อนอื่นผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทหารไทยทุกเหล่าทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติอย่างเต็มกำลัง และขอแสดงความเสียใจกับทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น ขณะที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้ยังมีการปะทะบริเวณชายแดนแม้สองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้วก็ตาม จากการแถลงของกองทัพบกไทยเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเป็นครั้งที่สองในคืนก่อนการแถลง...ผู้เขียนหวังว่าสงครามชายแดนในครั้งนี้จะจบลงได้โดยเร็วและประเทศกลับสู่ความปกติสุขโดยเร็วเช่นกัน
มาดูประเด็นหนึ่งที่คนไทยและสื่อไทยให้ความสนใจอย่างมากคือ ท่าทีของจีนต่อความขัดแย้งไทยและกัมพูชา ณ ขณะนี้ เพราะจีนนับเป็นหนึ่งประเทศที่ทรงอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหลังจากที่ไทยและกัมพูชาเกิดการปะทะกัน ไทยและนานาชาติต่างจับตาความเคลื่อนไหวและท่าทีของจีนต่อกัมพูชาเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าในแง่ของการสู้รบ คลังสรรพาวุธของกองทัพกัมพูชาส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนและรัสเซีย
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชา เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 1958 ผู้นำจีนหลายรุ่นได้สร้างมิตรภาพอันดีกับสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา และวางรากฐานที่มั่นคงต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มั่นคงในระยะยาว ในช่วงปี 1970–1980 สมเด็จสีหนุพำนักระยะยาวในประเทศจีนถึง 2 ครั้ง เพื่อเป็นรักษาบัลลังก์ผู้นำการต่อสู้ของประชาชนกัมพูชาในการต่อต้านการรุกรานจากภายนอก และปกป้องเอกราชและอธิปไตยของประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลและประชาชนจีน
ปี 2010 จีนและกัมพูชาได้สถาปนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ต่อมาปี 2019 ทั้งสองประเทศได้ลงนามใน “แผนปฏิบัติการร่วมสร้างอนาคตร่วมกันระหว่างประชาคมจีน-กัมพูชา ปี 2019–2023” ซึ่งกัมพูชาเป็นประเทศแรกที่ลงนามในแผนดังกล่าวกับจีน ต่อมาในปี 2023 มีการลงนามใน “แผนปฏิบัติการร่วมฉบับใหม่ในการสร้างอนาคตร่วมกันระหว่างประชาคมจีน-กัมพูชายุคใหม่ ปี 2024–2028” อีกครั้ง เท่ากับว่ามีการลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมฯนี้กันติดต่อกัน 10 ปี
ผู้นำระดับสูงของทั้งจีนและกัมพูชาต่างเดินทางไปเยือนและพบปะซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือและแลกเปลี่ยนกันในระดับพรรคการเมือง รัฐสภา กองทัพ วัฒนธรรม และการศึกษาอย่างใกล้ชิด
กัมพูชาได้ตั้งสถานกงสุลในเมืองต่างๆ ของจีน ได้แก่ กว่างโจว เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง คุนหมิง ฉงชิ่ง หนานหนิง ซีอาน ไหโข่ว และจี่หนาน ขณะที่จีนได้ตั้งสำนักงานกงสุลในกัมพูชาที่เมืองเสียมราฐ และเมืองสีหนุวิลล์
ในเดือนเม.ย. ปีนี้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ได้เดินทางถึงกรุงพนมเปญโดยเครื่องบินเฉพาะกิจ ตามคำเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีนโรดม สีหมุนี โดยเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการ ในครั้งนั้นประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้พบหารือกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ
ในความสัมพันธ์ด้านการเมืองนั้น เดือนธ.ค. ปี 2010 จีนและกัมพูชาได้สถาปนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ปี 2023 สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้พบหารือกับสมเด็จฮุน เซน และนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงได้จัดการเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ขณะที่ประธานคณะกรรมาธิการประจำของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (สมัยนั้น) หลี่จ้านซู ก็ได้เข้าพบปะพูดคุยด้วย ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สมเด็จพระราชาธิบดีนโรดม สีหมุนี และสมเด็จพระราชินีนารถโมนีนาถ ได้เสด็จเยือนประเทศจีนเพื่อตรวจสุขภาพและพักฟื้น โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงและภริยาเผิง ลี่หยวน ได้พบปะและจัดงานเลี้ยงต้อนรับฯ ช่วงปลายปี 2023 สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีนารถ ก็เสด็จเยือนจีนอีกครั้งเพื่อตรวจสุขภาพ
ในเดือนก.ย. ปี 2023 นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงได้พบกับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกัมพูชาที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ในระหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือเอเชียตะวันออกที่ประเทศอินโดนีเซีย ในเดือนเดียวกันนายฮุน มาเนต ได้เดินทางเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้มาพบหารือด้วย และนายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงได้จัดการเจรจา พร้อมทั้งประธานคณะกรรมาธิการประจำของสภาประชาชนแห่งชาติ นายจ้าวเล่อจี๋ ก็ได้เข้าพบฯ หลังจากนั้น นาย ฮุน มาเนต ได้เดินทางต่อไปยังเมืองหนันหนิง มณฑลกว่างซี เพื่อเข้าร่วมงานมหกรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ 20 และในเดือนเดียวกัน สมเด็จพระราชาธิบดีนโรดม สีหมุนี ได้เสด็จเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียงโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงก็ได้พบหารือด้วย เดือนต.ค. ปี 2023 นายฮุน มาเนต ได้เดินทางมาเข้าร่วมประชุมความร่วมมือระดับสูง “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ครั้งที่ 3 โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงและนายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงได้พบหารือด้วยอีก
ช่วงต้นปี 2025 ที่ผ่านมานี้ ในงานแถลงข่าวประจำของกระทรวงกลาโหมจีน พันเอกอาวุโส อู๋ เชียน ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคำถามที่ว่า “มีสื่อโซเชียลมีเดียบางรายแสดงความเห็นในแง่ลบต่อความสัมพันธ์จีนและกัมพูชา โฆษกมีความคิดเห็นอย่างไร? และในปีนี้จะมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างกองทัพจีนและกัมพูชาใดบ้าง? พันเอกอาวุโสอู๋ เชียนตอบว่า “จีนและกัมพูชาเป็นมิตรแท้ที่ร่วมสุขร่วมทุกข์ คอยช่วยเหลือกันและกันเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นไม่อาจทำลายได้ มิตรภาพฉันพี่น้องมั่นคงดุจศิลาแลง”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทัพจีนและกัมพูชามีการแลกเปลี่ยนระดับสูงอย่างใกล้ชิด ความร่วมมือในด้านต่างๆ ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดการฝึกร่วมทางทหาร(มังกรทอง) จำนวน 6 ครั้ง และการฝึกร่วมด้านแพทย์ทหาร ความร่วมมือในด้านสถาบันการศึกษา การเก็บกู้ทุ่นระเบิด ตลอดจนการแลกเปลี่ยนด้านข่าวสารก็มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไม่นานมานี้กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้มอบเหรียญตราเชิดชูเกียรติให้แก่สถาบันการศึกษาทางทหารและคณะผู้เชี่ยวชาญแพทย์ทหารของจีนที่ให้การสนับสนุนกัมพูชา กองทัพจีนเคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อดำเนินการตามฉันทามติสำคัญของผู้นำทั้งสองประเทศ ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างจีน-กัมพูชาให้ก้าวหน้าสู่ระดับใหม่ และบรรลุพัฒนาการใหม่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ปีนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการเยือนกัมพูชาของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง โดยผู้สื่อข่าวได้ถามว่า “ทางการจีนได้ประกาศข่าวการเดินทางเยือนกัมพูชาของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของปี 2025 ฝ่ายจีนมีการจัดเตรียมกิจกรรมสำคัญใดบ้าง และจีนคาดหวังอะไรจากการพัฒนาความสัมพันธ์กับกัมพูชา?” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบว่า “การเยือนในครั้งนี้นับเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในปี 2025 ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกัมพูชา รวมถึงความสัมพันธ์จีนและอาเซียนโดยรวม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพลังขับเคลื่อนใหม่ให้กับสันติภาพและการพัฒนาในระดับภูมิภาคและระดับโลก กัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและเป็นมิตรแท้ของจีน
การเยือนครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เดินทางเยือนกัมพูชาอีกครั้ง ระหว่างการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะเข้าพบหารือกับสมเด็จพระราชาธิบดีนโรดม สีหมุนี และสมเด็จพระราชินีนารถนโรดม โมนีนาถ รวมถึง สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และประธานพรรคประชาชนกัมพูชา และจะจัดการประชุมหารือกับสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับการยกระดับสถานะใหม่ของความสัมพันธ์จีนและกัมพูชา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างลึกซึ้งใน 5 ด้าน ได้แก่ ความเชื่อมั่นทางการเมือง ความร่วมมือแบบสมประโยชน์ร่วมกัน การประกันด้านความมั่นคง การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ โดยการเยือนในครั้งนี้ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะช่วยเพิ่มคุณค่าใหม่ให้กับ “การสร้างอนาคตร่วมกันของประชาคมจีนและกัมพูชา” แห่งยุคใหม่ และผลักดันความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่าง “รอบด้าน” ให้บรรลุผลที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง”
บรรยายมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่ากัมพูชาและจีนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในหลายระดับ ตั้งแต่พระบรมวงศานิวงศ์ของกัมพูชาไปจนถึงระดับรัฐบาลและหน่วยงานปฏิบัติการ ผู้นำระดับยอดของกัมพูชาและจีนก็ได้พบปะกันอยู่หลายครั้ง
สำหรับการปะทะบริเวณชายแดนไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้น จีนมองว่าความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของไทยกับกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ของจีนในภูมิภาคนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน และมีความร่วมมือทางทหารในหลายด้าน กองทัพเรือไทยได้จัดซื้อเรือรบจำนวนไม่น้อยจากจีน ขณะที่จีนก็เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย อีกทั้งยังมีความร่วมมือในด้านการท่องเที่ยวและการลงทุน สำหรับความสัมพันธ์จีนกับกัมพูชานั้น ยิ่งถือว่าเป็น “ประชาคมแห่งโชคชะตาร่วมกันในทุกสภาพอากาศ” (全天候命运共同体) โดยสมเด็จพระราชาธิบดีนโรดม สีหมุนี และตระกูลฮุนเซน ต่างก็มีจุดยืนฝักใฝ่จีนอย่างชัดเจน
กัมพูชายังถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งจีนยังมี “ฐานทัพเรือร่วม” ในเขตฐานทัพเรียมที่จังหวัดพระสีหนุ อีกด้วย ดังนั้น หากไทยกับกัมพูชาเกิดการปะทะกัน ความปลอดภัยของการลงทุนของจีนในโครงการต่างๆ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในกัมพูชาก็อาจตกอยู่ในความเสี่ยง
มีรายงานในสื่อจีนระบุว่าก่อนเหตุการณ์ทุ่นระเบิดและการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยและกัมพูชาจะเกิดขึ้น จีนได้เข้ามาแทรกแซงล่วงหน้าแล้ว โดยเมื่อวันที่ 10 ของเดือน ก.ค.นี้ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และมีการพบหารืออย่างใกล้ชิดกับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา ในขณะนั้น นายหวัง อี้ ได้เรียกร้องอย่างชัดเจนให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันอย่างเป็นมิตร พร้อมย้ำว่าจีนจะยึดมั่นในจุดยืนเป็นกลางและยุติธรรม ผลักดันให้ทั้งสองประเทศอยู่ร่วมกันอย่างสันติและลดความตึงเครียดลง
จีนมองว่าจีนสามารถรับบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยได้เพราะจีนมีข้อได้เปรียบหลายประการ ประการแรกคือ จีนมีจุดยืนที่เป็นกลางในด้านภูมิศาสตร์ และในประวัติศาสตร์ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ของกัมพูชาและตระกูลฮุนเซนต่างก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับปักกิ่ง ที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า “กัมพูชาเป็นพันธมิตรทางการเมืองที่มั่นคงที่สุดของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ทำให้จีนมีอำนาจในการโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชาอดกลั้นและใจเย็น และแม้ว่าไทยจะเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาของสหรัฐฯ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไทยก็มีแนวโน้มโน้มเอียงเข้าหาจีนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน การลงทุนจากจีนหรือการซ้อมรบทางทหารร่วมกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยอยู่ในระดับแน่นแฟ้นเช่นกัน ในฐานะที่จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย จีนมองว่าสามารถแสดงบทบาทที่ไม่เป็นปฏิปักษ์และเชื่อถือได้ในสายตาไทย
บทบาทของจีนกับอนาคตของภูมิภาค จีนเองตั้งเป้าหมายไว้ว่า “การจัดระเบียบใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง” (East Asian re-centralization) เป็นสิ่งสำคัญ กล่าวคือ ในอนาคต ประเทศมหาอำนาจภายในภูมิภาค (ซึ่งก็หมายถึงจีน) จะมีบทบาทนำในการจัดการสะสางปัญหาและกิจการต่างๆภายในภูมิภาค ดังนั้นเมื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการใครสักคนที่เป็น “ผู้ไกล่เกลี่ยที่น่าเชื่อถือ” จีนมองว่าตัวเองเหมาะสมที่สุด
สำหรับไทยเองในภาวะคับขันเช่นนี้ ผู้เขียนมองว่าใครก็ไม่น่าไว้วางใจ “เกลือเป็นหนอน” มีให้เห็นมากมายในโลกการเมืองระหว่างประเทศปัจจุบัน สภาพการณ์เช่นนี้ ไทยต้องตั้งการ์ดให้สูง เราจะต้องเชื่อในสัญชาติญาณและตั้งมั่นในหลักการที่ประเทศจะได้รับประโยชน์สูงสุด การเข้ามาเป็นคนกลางของประเทศมหาอำนาจ คงหนีไม่พ้นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจนั้นๆในภูมิภาคนี้