ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ในบทความนี้อยากจะมาเล่าถึงสังคมจีนยุคปัจจุบันในอีกด้านหนึ่ง ชาวไทยที่สนใจเรื่องจีนอาจได้อ่านข่าวมากมายเกี่ยวกับคนจีนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ตั้งแต่อายุไม่ถึง 35 ปี เป็นต้น สำหรับบทความนี้ผู้เขียนจะเล่าเทรนด์การเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ผู้ปกครองรุ่นใหม่ที่อยู่ในช่วงกลุ่มอายุประมาณ 30-45 ปี ที่จะค่อนข้างต่างจากคนในยุคก่อนอย่างมาก เนื่องจากปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว
อันดับแรกคือการลงทุนทางการศึกษา ยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกเป็นอันดับแรก โดยมักส่งลูกเรียนพิเศษหรือโรงเรียนชื่อดังตั้งแต่เล็ก เพื่อนของผู้เขียนบางคนวางแผนเลือกโรงเรียนประถมและมัธยมที่จะให้ลูกไปเข้าตั้งแต่ยังไม่คลอด! ในเมืองใหญ่จะเห็นการแข่งขันและความพยายามค่อนข้างสูงของพ่อแม่ ที่ต้องการให้ลูกได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนดีๆ ชั้นนำ เข้าเรียนติวเตอร์พิเศษ ถึงแม้ว่ารัฐมีมาตรการจำกัดการเรียนพิเศษในโรงเรียนกวดวิชา แต่พ่อแม่จีนที่มีศักยภาพก็หาหนทางกันได้อยู่ดี โดยมูลค่าตลาดกวดวิชา (หลังจากที่รัฐบาลออกนโยบายลดการกวดวิชาและลดการบ้าน) ในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 530,000 ล้านหยวน (ลดจาก 1.2 ล้านล้านหยวนในปี 2021 หลังรัฐบาลปราบปราม) แต่ตลาด "กวดวิชาลับ" เติบโตแทน โดยพ่อแม่ยินดีจ่าย 300-500 หยวน/ชม. สำหรับการเชิญครูมาติววิชาให้ลูกตัวเองที่บ้าน
กล่าวกันว่าการลงทุนทางการศึกษาของพ่อแม่จีนในปัจจุบันเทียบกับพ่อแม่ประเทศอื่นถือว่ามีต้นทุนสูงที่สุดในโลก ทั้งในแง่เงินทุนและความคาดหวัง ครอบครัวในเมืองใหญ่ใช้จ่าย 30-50% ของรายได้ต่อปีเพื่อการศึกษาลูก ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน 2023 รวบรวมสถิติเฉลี่ยค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรของคนจีนในยุคปัจจุบัน ดังตารางตัวเลขการลงทุนทางการศึกษาของบชาวจีน (2023) ที่ผู้เขียนยกมาให้ดู
จากตารางดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการลงทุนด้านการศึกษาของเด็กเมืองใหญ่ เมืองรองและชนบทมีความต่างกันมาก หากดูที่การลงทุนกับการศึกษาขั้นพื้นฐานรวมกวดวิชาเข้าด้วย พ่อแม่ในเมืองใหญ่มีรายจ่ายต่อปีต่อเด็กหนึ่งคนประมาณ 360,000 – 675,000 บาท ขณะที่เมืองรองชั้น 2-3 รายจ่ายต่อปีต่อเด็กหนึ่งคนประมาณ 135,000 – 270,000 บาท และในแถบชนบทรายจ่ายต่อปีต่อเด็กหนึ่งคนประมาณ 22,500 – 67,500 บาทต่อปี สำหรับกิจกรรมเสริมอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา และศิลปะ ถือว่าเป็นตัวเลือกเสริมความสามารถของเด็ก ก็เป็นรายจ่ายที่ไม่น้อยต่อปี โดยในชนบททั้งในด้านทุนทรัพย์และโอกาสทำให้เข้าถึงตรงนี้ยากกว่ามาก สุดท้ายคือการศึกษาต่างประเทศ ส่วนใหญ่พ่อแม่ในเมืองใหญ่ที่มีทุนทรัพย์จะส่งลูกไปเรียนซัมเมอร์หรือไปเรียนต่อระดับปริญญาในต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็จะพุ่งสูงขึ้นอีก
ในจีนมีตัวอย่างการลงทุนในการศึกษาของลูกอย่างสุดโต่งเช่น กรณีศึกษาในเซี่ยงไฮ้ ครอบครัวหนึ่งจ่าย 2 ล้านหยวน (ประมาณเกือบ 10 ล้านบาท) ใน 10 ปี สำหรับโรงเรียนนานาชาติปีละ 250,000 หยวน, ว่าจ้างครูพิเศษสอนเปียโนจากเวียนนา 500 หยวน/ชม., ค่ายวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ 80,000 หยวน/ครั้ง และ เกิด“ปรากฏการณ์บ้านในเขตการศึกษา” (学区房) พ่อแม่ยอมจ่าย 50-100% แพงกว่าบ้านทั่วไปเพื่อให้ได้อยู่ในเขตโรงเรียนชื่อดัง เช่นบ้านใกล้โรงเรียนดังในปักกิ่งบางแห่งราคาสูงถึง 200,000 หยวน/ตร.ม. (เกือบ1 ล้านบาท/ตร.ม.)
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดของคอร์สเตรียมอนุบาลในจีนสำหรับเด็ก 2-3 ขวบมีมูลค่ามากกว่า 7,800 ล้านหยวน นอกจากนี้ในเมืองใหญ่จีนเริ่มมีการเปิดคอร์สภาษาอังกฤษสำหรับทารก อายุ 0-2 ขวบซึ่งสนนราคาต่อคอร์สประมาณ 30,000 หยวนหรือเกือบ 150,000 บาท ดังนั้นการแข่งขันของเด็กจีนเริ่มกันตั้งแต่ก่อนวัยเรียนหรือวัยเข้าอนุบาล!
เงื่อนไขการเลี้ยงดูลูกของคนจีนยุคใหม่มีความต่างค่อนข้างมากด้วยภาวะทางเศรษฐกิจ สังคมเมืองที่อาศัยอยู่ และการเข้าถึงโอกาส แต่ไม่ว่าพ่อแม่จะอยู่ในฐานะไหนก็อยากหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกของตัวเอง จากสถานการณ์การลงทุนด้านการศึกษาของคนจีนในปัจจุบันที่สูงลิ่วก็สร้างผลกระทบทางสังคมเช่นกัน ใน 10% ของครอบครัวคนเมืองต้องมีการกู้หนี้ยืมสินเพื่อการศึกษาบุตรหลาน อัตราการเกิดของเด็กยังคงลดลงถึงแม้รัฐบาลพยายามกระตุ้นให้ครอบครัวคนรุ่นใหม่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน หลายครอบครัวบอกว่า "เลี้ยงลูกหนึ่งคนให้มีคุณภาพมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป" และทำให้ช่องว่างระหว่างกลุ่มคนรวย-จนมีมากขึ้น เพราะเด็กชนบทเข้าถึงการศึกษาคุณภาพสูงยากขึ้น
สำหรับแนวโน้มใหม่ในการลงทุนการศึกษาของคนจีน มีดังนี้คือ คอร์สโปรแกรมมิ่งและ AI สำหรับเด็กประถม ตลาดโตเร็วปีละกว่า 40% หรือความสามารถกีฬาแบบเข้มข้นที่ครอบครัวชนชั้นกลางลงทุนให้ลูกเรียน เช่น เทนนิส ตีกอล์ฟ เพื่อเพิ่มโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัย (คะแนนความสามารถพิเศษ) สุดท้ายคอร์สพัฒนาทักษะอารมณ์ (EQ) มูลค่าการตลาดปัจจุบันมากกว่า 1,200 ล้านหยวน เป็นต้น
ปัญหาความล้มเหลวของการเลี้ยงดู เป็นอีกประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมากในโลกโซเซียลมีเดียจีน แม้นโยบายลูกคนเดียวของรัฐบาลจีนจะสิ้นสุดแล้ว แต่หลายครอบครัวยังเลือกมีลูกเพียงคนเดียว ทำให้เด็กถูกตามใจมาก ปัญหาเฉพาะในสังคมที่เรียกขานว่า "จักรพรรดิน้อย" (小皇帝) ที่ถูกตามใจมากเกินไปยังคงพบเห็นได้ทั่วไป ในครอบครัวคนมีเงินหรือชนชั้นกลางที่พอมีศักยภาพการใช้จ่าย การเลี้ยงดูของพ่อแม่จีนบางแบบที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการปรับตัวของลูก โดยเฉพาะปัญหา "เรียนจบแต่ไม่ทำงาน" หรือโตมาแล้วก็ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่
โดยสาเหตุหลักของการเลี้ยงดูที่ล้มเหลวคือ พ่อแม่จีนหลายครอบครัวยึดคติ "เรียนคือหน้าที่เดียวของลูก" ทำให้เด็กโตมาโดยไม่รู้จักการแก้ปัญหาในชีวิตจริง เด็กบางคนเรียนเก่งแต่ทำอาหารไม่เป็น ซักผ้าไม่เป็น เพราะพ่อแม่ทำทุกอย่างให้ คือให้เรียนอย่างเดียวโดยขาดทักษะการใช้ชีวิต หรือการปกป้องเกินเหตุหรือควบคุมทุกอย่าง ทำให้ลูกขาดความสามารถในการตัดสินใจเอง เมื่อเจอปัญหาที่ทำงานหรือความขัดแย้งในสังคม ลูกอาจถอยหนีเพราะไม่เคยฝึกจัดการเอง ค่านิยมที่ว่า “ลูกต้องเก่ง” สร้างความเปราะบางทางจิตใจ เด็กที่ถูกกดดันให้ต้องสมบูรณ์แบบอาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่กลัวความล้มเหลว จึงไม่กล้าเริ่มทำงานหรือทำงานทนความกดดันไม่ได้ สุดท้ายเลือกที่จะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ดิ้นรนต่อสู้อะไร เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด เด็กที่ถูกตามใจไม่เคยลำบาก เมื่อเข้าสังคมจริง ปรับตัวไม่ได้เพราะเคยชินกับการได้รับทุกอย่างโดยไม่ต้องพยายาม
ในสื่อจีนก่อนหน้ามีการรายงานว่า ปัจจุบันอัตราโรคซึมเศร้าและภาวะหมดไฟ (Burnout) ในกลุ่มผู้จบใหม่สูงขึ้น ข่าวเด็กฆ่าตัวตายมีอยู่ตลอดทั้งในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย (กรณีมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเคยอยู่ ก็มีการฆ่าตัวตายในหอพักกันเกือบทุกปี) ตัวอย่างจากข่าวสังคม กรณีชายวัย 30 ปีในเซี่ยงไฮ้ เรียนจบปริญญาโทแต่ไม่ยอมทำงาน ใช้ชีวิตเล่นเกมทั้งวัน โดยอาศัยเงินพ่อแม่ที่เกษียณแล้ว หรือหญิงวัย 25 ปีในปักกิ่ง ลาออกจากงาน 10 ครั้งใน 2 ปี เพราะ "รู้สึกไม่เหมาะกับที่ทำงานทุกแห่ง" และกลับไปอยู่กับพ่อแม่ ปรากฏการณ์ลูกเต็มเวลาหรือFull-time Children ที่กลับไปอยู่กับพ่อแม่ (แสร้ง)ทำเป็น "ดูแลผู้สูงอายุ" แต่จริงๆ แล้วต้องการพึ่งพาทางการเงิน
รัฐบาลจีนก็รู้ถึงปัญหาสังคมดังกล่าวและกำลังหาแนวทางแก้ไข เช่น มีโครงการ "ขัดเกลาสังคม" สำหรับเยาวชนคือค่ายฝึกทักษะการใช้ชีวิต หรือ การรณรงค์ให้พ่อแม่ปรับทัศนคติผ่านสื่อของรัฐ และการปฏิรูปการศึกษา เช่น ลดการเน้นสอบ เพิ่มวิชาทักษะชีวิต แต่ปัญหานี้ยังแก้ไม่หาย เพราะรากเหง้า "วัฒนธรรมการเลี้ยงดูที่สร้างเด็กเก่งแต่ขาดความยืดหยุ่น" ยังคงเป็นปัญหาในสังคมจีน รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่การหางานดีๆ ในจีนสมัยนี้แข่งขันสูงมาก ทำให้บางคนเลือกที่จะ "ถอยออกมาจากระบบ" และอยู่แบบหายใจทิ้งไปวันๆ