รัฐบาลสหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตราสูงสุดร้อยละ 50 ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป โดยเครื่องใช้ในบ้านซึ่งมีส่วนประกอบของเหล็กและอะลูมิเนียม 8 ประเภทถูกเรียกเก็บด้วยตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
เครื่องใช้ในบ้านเหล่านี้ได้แก่ตู้เย็นพร้อมช่องแช่แข็ง เครื่องอบผ้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน ตู้แช่แข็งแบบตั้งพื้นและแบบทรงยืน (chest and upright freezers) เตาทำอาหารและเตาอบ เครื่องกำจัดขยะอาหาร และชั้นวางของทำด้วยลวดเชื่อม
รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ในอัตราร้อยละ 25 โดยเพิ่มสินค้าเกือบ 300 ประเภทในบัญชี ตั้งแต่เกือกม้าไปจนถึงใบมีดของรถปราบดิน ตามรายงานของรอยเตอร์
มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของรัฐบาลสหรัฐฯถูกผู้เชี่ยวชาญของจีนวิจารณ์ว่า ไร้เหตุผลในเชิงเศรษฐกิจและขาดวิสัยทัศน์ทางการเมือง โดยข้ออ้างที่ว่าการขึ้นภาษีนำเข้าจะช่วยสร้างงานและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศนั้นเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างหนึ่ง
โจว หมี่ นักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีนเตือนว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านเงินเฟ้อ สั่นสะเทือนเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากเหล็กเป็นวัสดุพื้นฐานในห่วงโซ่อุปทานมากมาย ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีจะส่งผลต่อผู้ผลิต ผู้ก่อสร้าง และภาคครัวเรือนต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในท้ายที่สุด
เกา หลิงอวิ้น ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันสังคมศาสตร์จีนในกรุงปักกิ่งชี้ว่า จำนวนงานที่เกิดจากมาตรการภาษีนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผลกระทบโดยรวม เข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า เก็บเมล็ดงา แต่มองไม่เห็นลูกแตงโม
ทั้งนี้ ในรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก ( พ.ศ. 2560-2564) ทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กร้อยละ 25และอะลูมิเนียมร้อยละ 10 โดยอ้างเหตุผลด้าน "ความมั่นคงของชาติ" อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์กระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา การกำหนดมาตรการกีดกันการค้าแต่ฝ่ายเดียวของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมกับชาติคู่ค้า ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างงานในภาคการผลิตของสหรัฐฯ ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ที่มา : โกลบอลไทมส์