ก่อนหน้านี้ ลาบูบู้รุ่น “3.0” ได้สร้างปรากฏการณ์สินค้าหมดเกลี้ยงทั้งออนไลน์และหน้าร้าน โดยราคาขายเดิมอยู่ที่ 99 หยวนต่อชิ้น (ประมาณ 500 บาท) หรือ 594 หยวนต่อกล่องชุดละ 6 ตัว (ประมาณ 3,020 บาท) แต่ด้วยจำนวนจำกัด บวกกับกระแสบนโซเชียลมีเดีย ทำให้ราคาขายต่อในตลาดมือสองพุ่งทะลุ 2,800 หยวนต่อกล่อง (ราว 14,200 บาท) ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตาม Pop Mart เริ่มทยอยเติมสินค้าในหลายช่องทาง ทั้งแอปฯ อย่างเป็นทางการ ร้านค้าออนไลน์ใน Taobao และบัญชีใน Douyin ส่งผลให้ราคาตลาดเริ่มปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากแอปซื้อขายมือสอง ระบุว่า วันที่ 16 มิถุนายน กล่องชุด 6 ตัวมีราคา 2,439 หยวน (ประมาณ 12,400 บาท) ในขณะที่วันที่ 20 มิถุนายน ลดเหลือ 839.6 หยวน (ประมาณ 4,260 บาท) มูลค่าตกมากกว่า 60% ภายใน 5 วัน
ผู้ค้ารายย่อยหรือ “นักเก็งกำไร” หลายรายเริ่มประสบปัญหาขาดทุน บางรายซื้อมาสต็อกไว้ราคาสูงถึง 2,100 หยวนต่อกล่อง เมื่อราคาดิ่งลงเหลือเพียง 700–800 หยวน ก็ขาดทุนทันที 1,300 หยวนต่อกล่อง (ราว 6,600 บาท) ส่งผลให้หลายรายต้องประกาศเลิกเก็งกำไร บางรายถึงกับโพสต์ว่า “ต่อไปคงต้องซื้อไว้เล่นเอง”
ขณะที่ราคาสินค้าดิ่งลง หุ้น Pop Mart ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงก็ร่วงหนักไม่แพ้กัน จากจุดสูงสุดในวันที่ 12 มิถุนายนที่ 283.4 ดอลลาร์ฮ่องกง เหลือเพียง 239.6 ดอลลาร์ฮ่องกง ณ วันที่ 20 มิถุนายน คิดเป็นการหายไปของมูลค่าตลาดกว่า 588,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 2.7 ล้านล้านบาท)
สิ่งที่น่าจับตาไปกว่านั้นคือ ขณะที่ราคาหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุด ผู้บริหารระดับสูงของ Pop Mart รวมถึงผู้ก่อตั้งอย่าง หวัง หนิง (Wang Ning) กลับพากันเทขายหุ้นออกจำนวนมาก เดือนตุลาคม 2567 หวัง หนิง ขายหุ้น 21.7 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 1,560 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ผู้บริหารคนอื่นรวมกันขายอีก 23.9 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง นักลงทุนรายใหญ่รายหนึ่งอย่าง “Feng Qiao Capital” เทขายหุ้นหมดพอร์ต มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง
ลาบูบู้ในฐานะมาสคอตของ Pop Mart เคยสร้างรายได้กว่า 3 หมื่นล้านหยวนในปีเดียว ทำให้บริษัทกลับมาครองใจนักลงทุนอีกครั้งหลังจากที่เคยซบเซาไปช่วงหนึ่ง แต่กระแสความร้อนแรงนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อการเก็งกำไรเกินตัวส่งผลให้เกิด “ฟองสบู่” ด้านราคา และสุดท้ายเมื่อปริมาณสินค้าเริ่มมากขึ้น ราคาก็ร่วงลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา: 上游新闻, 澎湃新闻, 第一财经, 界面新闻, 证券时报