นักวิทยาศาสตร์หญิงชาวจีนถูกรวบตัวคาสนามบินดีทรอยต์ ในข้อหาลักลอบนำวัสดุชีวภาพเข้าสหรัฐอเมริกา และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตามการแถลงของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ ( 9 มิ.ย.)
นับเป็นการจับกุมนักวิทยาศาสตร์จีนคดีที่สองที่เกิดขึ้นห่างจากคดีแรกไม่กี่วัน
เฉิงซวน ฮั่น กำลังศึกษาในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวจงในเมืองอู่ฮั่น โดยวางแผนทำโปรเจ็กต์ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนให้เสร็จภายในเวลาหนึ่งปี
ฮั่นถูกกล่าวหาว่าส่งพัสดุ 4 ชิ้น ซึ่งรวมทั้งซองจดหมายที่ยัดไว้ในหนังสือ จากจีนมาให้กับบุคคลที่ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยมิชิแกนมาเมื่อปี 2567 และ 2568 โดยซ่อนวัสดุชีวภาพไว้ข้างใน
เมื่อเธอเดินทางจากจีนมาถึงสนามบินดีทรอยต์ รัฐมิชิแกนในวันอาทิตย์ ( 8 มิ.ย. ) เจ้าหน้าที่ศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) จึงได้เข้าตรวจสอบและกล่าวหาฮั่นแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับพัสดุดังกล่าว นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ CBP ยังพบด้วยว่าเนื้อหาในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของฮั่นได้ถูกลบออกไปก่อนที่เธอจะเดินทางมาถึงสหรัฐฯ 3 วัน
หลังจากการตรวจสอบของCBP เจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง ( เอฟบีไอ) และเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ (ICE) ก็ได้สัมภาษณ์ฮั่น โดยตามข้อกล่าวหาของสหรัฐฯนั้นระบุว่า ในระหว่างการสัมภาษณ์ ฮันได้ยอมรับในที่สุดว่าเป็นผู้ส่งพัสดุและเปิดเผยว่ามีพยาธิตัวกลมอยู่ข้างใน นอกจากนั้น ยังยอมรับสารภาพว่าได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ CBP ในระหว่างการตรวจสอบ
ในการยื่นฟ้องต่อศาล เอฟบีไอระบุว่า การนำเข้าพยาธิบางชนิดต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ
ด้านอัยการเจอโรม เอฟ. กอร์กอน จูเนียร์กล่าวว่า การลักลอบส่งวัสดุชีวภาพโดยชาวต่างชาติจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวจง เมืองอู่ฮั่นของจีน เพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการมหาวิทยาลัยมิชิแกน นับเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ในรูปแบบหนึ่งที่น่าตกใจและผู้เสียภาษีชาวอเมริกันไม่ควรสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาของรัฐที่สำคัญถูกใช้เป็นสถานที่ทำการลักลอบขนสิ่งของจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่งตั้งข้อกล่าวหานักวิทยาศาสตร์ชาวจีน 2 คนว่า สมรู้ร่วมคิดในการลักลอบนำเชื้อราพิษเข้าสหรัฐฯ โดยอวิ้นฉิง เจี้ยน วัย 33 ปี นักวิจัยหญิงของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ถูกจับกุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนจุนหยง หลิว แฟนหนุ่มวัย 34 ปีได้ถูกส่งกลับประเทศจีนเมื่อปีที่แล้ว
ที่มา : เอพี / ฟ็อกซ์นิวส์
