xs
xsm
sm
md
lg

"Neta" ส่อแววล้ม! ถอดโลโก้กลางดึก ซีอีโอจ่อถูกปลด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถานการณ์ของ Neta Auto ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่า อาคารสำนักงานใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ได้ถอดโลโก้ "Neta Auto" ออกจากตัวอาคารกลางดึก เหลือเพียงร่องรอยที่ผนัง ขณะเดียวกันป้ายชื่อที่ศูนย์บริการลูกค้าก็ถูกถอดออกด้วย

พร้อมกันนี้ มีรายงานว่าผู้ถือหุ้นฝ่ายทุนรัฐของบริษัทแม่ Hozon New Energy กำลังเตรียมประชุมคณะกรรมการเพื่อปลด "ฟาง หยุนโจว" ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทออกจากตำแหน่ง โดยถือเป็นข่าวร้ายครั้งใหญ่ที่สุดของ Neta Auto นับตั้งแต่ จาง หย่ง อดีตซีอีโอประกาศลาออก

ก่อนหน้านี้บริษัทเผชิญปัญหาต่อเนื่องหลายด้าน ทั้งผู้บริหารต่างประเทศลาออก หุ้นส่วนถูกฟ้องล้มละลาย เว็บไซต์และแอปพลิเคชันหยุดให้บริการ ชิ้นส่วนอะไหล่ขาดแคลน การแปลงหนี้เป็นทุนมูลค่า 2,000 ล้านหยวน (ประมาณ 9,500 ล้านบาท) และการระดมทุนที่ยังไม่มีข้อสรุป

ปัจจุบัน ฟาง หยุนโจว ถือหุ้น 11.8% และมีสิทธิออกเสียง 32.1% แต่ผู้ถือหุ้นฝ่ายทุนรัฐ นำโดย Nanning Minsheng New Energy และ Yichun Jinhe ถือหุ้นรวมกันเกิน 20% ทำให้มีอำนาจในการผลักดันมติปลดซีอีโอ

เบื้องหลังการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นผลจากสถานการณ์ทางธุรกิจที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง และความขัดแย้งเชิงกลยุทธ์ระหว่างผู้ถือหุ้น

ในปี 2567 Neta Auto มียอดขายสะสมเพียง 64,549 คัน ลดลงถึง 49.37% จากปี 2566 ที่มียอดขาย 127,496 คัน และลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่ง Neta Auto เคยเป็นผู้นำตลาดด้วยยอดขายสูงถึง 152,100 คัน

เมื่อต้นปี 2568 สถานการณ์ยิ่งทรุดหนัก โดยเดือนมกราคมมียอดขายในประเทศเพียง 110 คัน ลดลงจาก 237 คันในเดือนธันวาคม 2567


บริษัทแม่ Hozon New Energy มีผลขาดทุนสะสมสูงถึง 183.73 พันล้านหยวน (ประมาณ 871 พันล้านบาท) ในช่วงปี 2564 ถึง 2566 โดยในปี 2566 ขาดทุนถึง 68.67 พันล้านหยวน (ประมาณ 325 พันล้านบาท) และมีเงินสดคงเหลือเพียง 28.36 พันล้านหยวน (ประมาณ 135 พันล้านบาท) ขณะที่หนี้สินระยะสั้นพุ่งสูงถึง 154 พันล้านหยวน (ประมาณ 730 พันล้านบาท)

ตั้งแต่ต้นปี 2568 เกิดปัญหาแอปพลิเคชันของ Neta Auto หยุดทำงาน ส่งผลให้เจ้าของรถไม่สามารถใช้งานฟังก์ชันสำคัญ เช่น การควบคุมรถทางไกล การใช้กุญแจบลูทูธ และการตรวจสอบสถานะการชาร์จไฟได้

ศูนย์บริการหลายแห่งทั่วประเทศประสบปัญหาขาดแคลนอะไหล่ตั้งแต่ปลายปี 2567 โดยลูกค้าต้องจ่ายค่าอะไหล่เอง แม้รถยังอยู่ในระยะประกัน บางพื้นที่ เช่น ฉางซาและหางโจว ลูกค้าต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ขณะที่ดีลเลอร์ในกว่างโจวและซีอานทยอยปิดตัว เหลือแต่ดีลเลอร์อิสระที่ต้องสั่งอะไหล่จากแหล่งอื่น ซึ่งไม่สามารถรับประกันคุณภาพได้

คำสัญญา "รับประกันตลอดชีพ" ของบริษัทกลายเป็นแค่คำพูด รถมือสองราคาตกลงอย่างหนักถึงครึ่งหนึ่ง บริษัทประกันบางแห่งปรับเพิ่มเบี้ยประกันรถ Neta Auto ถึง 40%

ในเดือนเมษายน 2568 ดีลเลอร์กว่า 20 รายทั่วประเทศออกมาเรียกร้องให้บริษัทจ่ายหนี้ ซึ่งมีวงเงินตั้งแต่หลักล้านถึงหลักร้อยล้านหยวน แม้ว่าจะมีการแปลงหนี้เป็นทุนบางส่วน แต่ยังมีซัพพลายเออร์อีกหลายรายที่ยังไม่ได้รับการชำระเงิน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม บริษัทแม่ Hozon New Energy ถูก Shanghai Yuxing Advertising Co., Ltd. ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอล้มละลาย หลังถูกค้างค่าบริการโฆษณา 5.31 ล้านหยวน (ประมาณ 25 ล้านบาท)

นักวิเคราะห์มองว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งนี้เกิดจากความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ Neta Auto เคยประสบความสำเร็จในตลาดรถยนต์ราคาย่อมเยาด้วยรุ่น Neta V และ Neta U แต่กลับผลักดันรุ่นระดับสูงอย่าง Neta S และ Neta GT ที่ไม่ประสบความสำเร็จ โดย Neta S ต้องลดราคาจาก 199,800 หยวน เหลือเพียง 150,000 หยวน แต่ยอดขายยังไม่ถึง 1,000 คันต่อเดือน

ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ตลาด SUV สำหรับครอบครัวกำลังเติบโต บริษัทกลับพัฒนา Neta L ได้ล่าช้ากว่าคู่แข่ง ส่งผลให้พลาดโอกาสสำคัญในตลาด


จาง หย่ง อดีตซีอีโอ เคยยอมรับว่าปัญหาหลักมาจากการตั้งราคาผิดพลาด การตลาดล้าสมัย และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ ฟาง หยุ่นโจว ยังเดินหน้า "ยุทธศาสตร์ตลาดคู่" โดยตั้งเป้าให้ยอดขายต่างประเทศในปี 2568 คิดเป็น 50% ของยอดขายรวม แม้จะเปิดโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3 แห่ง แต่ปี 2567 ส่งออกรถได้เพียง 34,000 คัน คิดเป็น 26% ของยอดขายทั้งหมด อีกทั้งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ยังเติบโตไม่มาก

ล่าสุดผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายต่างประเทศทยอยลาออก เช่น โจว เจียง ประธานฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ และ จาง ปันเผิง ผู้จัดการทั่วไปประจำอินโดนีเซีย ซึ่งย้ายไปอยู่ค่าย Jetour Auto ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในไทยและอินโดนีเซียโดยตรง โดยทำให้แผนการสร้างฐานผลิตและบริการในท้องถิ่นต้องหยุดชะงัก

แม้จะมีความพยายามถอดถอน ฟาง หยุ่นโจว และเตรียมปรับโครงสร้างองค์กร หรือดึงนักลงทุนใหม่ เช่น CATL หรือกองทุนจากกลุ่ม BRICS แต่ปัญหาสำคัญคือจะจัดการอย่างไรกับบริการหลังการขายของรถกว่า 400,000 คัน ที่ใช้งานอยู่บนท้องถนนในขณะนี้

ที่มา 百姓评车


กำลังโหลดความคิดเห็น