โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน ได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก สินค้าจีนมีความได้เปรียบหลายอย่างทั้งด้านราคา ความหลากหลายของสินค้า และในช่วงหลังโควิดระบาดใหญ่ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซจีนบุกไปทำตลาดต่างประเทศกันมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศจีนและซับพลายสินค้าที่ล้นเกิน แต่ในช่วงนี้เป็นที่น่าจับตาเพราะการขยายตัวของจีนต้องเผชิญกับความท้าทายจากสงครามการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงการตั้งกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ จากหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัสดุอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่มูลค่าต่ำ ที่สินค้าจีนตีตลาดแตกไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีพัสดุมูลค่าต่ำจากจีนเข้ามากินส่วนแบ่งมากกว่า 70% ในตลาดแล้ว
อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน หมายถึง การซื้อขายสินค้าหรือบริการระหว่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์ โดยครอบคลุมถึงการสั่งซื้อสินค้าโดยตรงจากเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่างประเทศ ใช้ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ การจัดส่งระหว่างประเทศ และการเคลียร์ภาษีศุลกากรผ่านระบบดิจิทัล
สำหรับการพัฒนาการด้านอีคอมเมิร์ซในจีน เริ่มต้นจากการเติบโตของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba (AliExpress), Pinduoduo (Temu) , TikTok Shop และ Shein ตั้งแต่ปี 2015 รัฐบาลจีนได้ประกาศเขตนำร่องอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน (CBEC Pilot Zones) โดยเริ่มจากเมืองหางโจวก่อนและขยายไปกว่า 100 เมืองในปัจจุบัน ทำให้จีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมูลค่าการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนสูงที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการค้ากว่า 2 ล้านล้านหยวนต่อปี ทำให้อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนกลายเป็นอีกหนึ่งแขนขาสำคัญของภาคอุตสาหกรรมส่งออกของจีน
อุปสรรคที่เกิดจากสงครามการค้า คือ สหรัฐฯ และบางประเทศ มีการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากจีน หรือมีการใช้มาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวด รวมถึงการควบคุมการใช้เทคโนโลยีจีน เช่น การห้ามใช้ TikTok ในบางประเทศ ส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มที่เป็นช่องทางการค้าที่สำคัญ แรงกดดันจีนในหลายด้าน ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในปีนี้ที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าและยกเลิกนโยบายปลอดภาษีสำหรับพัสดุที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์อีกทั้งยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือกับเรือบรรทุกสินค้าจากจีนในราคาที่สูง (ค่าขนส่งทางเรือจีนต่อเที่ยวพุ่งจาก 250,000 ดอลลาร์ เป็นหลักล้านดอลลาร์สหรัฐ ค่าธรรมเนียมท่าเรือและค่าตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ เพิ่มเป็นตู้ละ 6,000 ดอลลาร์) มาตรการเหล่านี้ได้ทำลายข้อได้เปรียบของจีนโดยตรง (สินค้าราคาถูกต้นทุนต่ำ) ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของจีนพุ่งสูง
ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน ยังประสบความเสี่ยงด้านกฎหมายเพิ่มมากขึ้น ในไตรมาสแรกของปี 2025 สินค้าอีคอมเมิร์ซจีนที่ถูกลบออกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเนื่องจากละเมิดสิทธิบัตร เพิ่มขึ้น 52% และจำนวนคดีจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ถูกฟ้องร้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เช่น ปัจจุบันด่านศุลกากรของสหรัฐฯ ตรวจสอบและสกัดกั้นสินค้าละเมิดสิทธิ์อย่างเข้มงวดมากขึ้นมาก
พัสดุอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่มีมูลค่าต่ำ ที่จีนเรียกว่า “小额包裹” (อ่านว่าเสี่ยวเอ้อเปากั่ว) คือช่องทางสร้างรายได้สำคัญให้กับผู้ประกอบการจีน ที่ผ่านมาผู้ประกอบการจีนหลายรายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากโอกาสฯตรงนี้ ก่อนหน้าหลายประเทศไม่ได้มีการสนใจกับการเก็บภาษีกับสินค้ามูลค่าต่ำจากจีนมากนัก ทำให้สินค้าเหล่านี้ของจีนทะลักและตีตลาดไปหลายประเทศทั่วโลก การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิกนโยบาย “ยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุชิ้นเล็ก มูลค่าต่ำ” จากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงส่งผลให้พัสดุกว่า 1.36 พันล้านชิ้นต่อปี จากจีนไปสหรัฐฯ “หมดช่องทางพิเศษ” ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศปิดช่องทางการผ่านพิธีศุลกากรแบบเร่งด่วน (T86) สำหรับสินค้าปลอดภาษีขนาดเล็กจากจีนเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ซึ่งก็ส่งผลกระทบทันทีต่อผู้บริโภคและธุรกิจขนาดกลางและเล็กในสหรัฐฯ
ตามรายงานจากสื่อในต่างประเทศ สหภาพยุโรป หรือ อียู (EU) ก็เตรียมประกาศแผนยกเลิกนโยบายยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุที่มีมูลค่าต่ำกว่า 150 ยูโร พร้อมทั้งวางแผนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย 2 ยูโรต่อชิ้น สำหรับพัสดุที่ส่งตรงถึงผู้บริโภค และเรียกเก็บ 0.5 ยูโรต่อชิ้น สำหรับพัสดุที่ถูกจัดเก็บในคลังสินค้าภายในกลุ่มประเทศอียูด้วย
นอกจากสหรัฐฯ และ อียู แล้ว ญี่ปุ่นเองก็มีแนวโน้มที่จะดำเนินการเก็บภาษีกับสินค้ามูลค่าต่ำจากจีนด้วยเช่นกัน โดยพิจารณาแก้ไขนโยบายยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุที่มีมูลค่าต่ำกว่า 10,000 เยน ซึ่งเดิมญี่ปุ่นยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าสินค้าขนาดเล็กและมูลค่าไม่มาก กระทรวงการคลังแดนปลาดิบชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา จำนวนการนำเข้าสินค้าขนาดเล็กเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา พบว่ามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ในปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้ายกเว้นภาษีจำนวน 169.66 ล้านชิ้น คิดเป็นมูลค่า 425.8 พันล้านเยน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 5 เท่า
สำหรับภาคธุรกิจญี่ปุ่น การเติบโตของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนกำลังกลายเป็นภัยคุกคาม จากการสำรวจพบว่าหลายบริษัทในญี่ปุ่นมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายยกเว้นภาษีฯ เพราะทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศมีความได้เปรียบด้านราคา ตามแผนการปฏิรูประบบภาษีของญี่ปุ่น คาดว่าจะมีการกำหนดนโยบายใหม่ในปี 2026 ที่จะถึงนี้ โดยญี่ปุ่นเองก็กำลังมีการพิจารณายกเลิกการยกเว้นภาษีสินค้ามูลค่าต่ำจากจีนอย่างจริงจัง
เดิมนโยบาย “ยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำ” เริ่มต้นในปี 1938 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่นำของฝากกลับประเทศ และลดภาระงานของศุลกากร แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนใช้ช่องทางนี้เป็นทางด่วนในการส่งออกสินค้าโดยไม่ต้องผ่านอุปสรรคทางการค้าแบบเดิม โมเดล “ส่งตรงราคาถูก + ยกเว้นภาษี” กลายเป็นแนวทางหลักของอีคอมเมิร์ซจีนข้ามพรมแดน ทำให้จำนวนพัสดุที่ส่งไปยังสหรัฐฯ พุ่งจาก 138 ล้านชิ้น เป็น 1.36 พันล้านชิ้น และมูลค่าส่งออกจาก 5.3 พันล้านดอลลาร์ เป็น 66 พันล้านดอลลาร์ แพลตฟอร์มอย่าง Shein และ Temu จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การเติบโตแบบ “เร็วเกินไป” นี้ ได้จุดชนวนในสหรัฐฯ โดยต่างมองกันว่านโยบายฯนี้เป็น “ช่องโหว่” ที่ทำให้สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศไหลทะลักเข้ามา และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและแรงงานในประเทศ
ทางฝั่ง อียู เผยว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา มีพัสดุยกเว้นภาษีกว่า 2.3 พันล้านชิ้นเข้าสู่อียู ส่วนใหญ่มาจากแพลตฟอร์มจีน เช่น Shein, Temu และ AliExpress ผู้ค้าปลีกท้องถิ่นและองค์กรอุตสาหกรรมต่างพากันร้องเรียนว่าแพลตฟอร์มจีนใช้ช่องทางปลอดภาษีนี้ขายสินค้าราคาถูกและคุณภาพต่ำ
ผู้ประกอบการจีนรายหนึ่ง “หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกปลอดภาษีพัสดุที่ส่งตรงจากจีนเกือบทั้งหมด ทำให้คำสั่งซื้อราว 10% หายไปทันที” แม้ว่า Shein และ Temu จะสามารถบรรเทาผลกระทบชั่วคราวด้วยการส่งจากคลังสินค้าภายในสหรัฐฯ แต่คลังสินค้ามีพื้นที่จำกัด ปริมาณสินค้าไม่เพียงพอ การเติมสินค้ายังต้องพึ่งพาการขนส่งจากจีน กลุ่มผู้บริโภคสหรัฐฯที่พึ่งพาสินค้าราคาถูกจากจีนก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย ข้อมูลเผยว่า 48% ของพัสดุมูลค่าต่ำจากแพลตฟอร์มจีนส่งไปยังเขตยากจนที่สุดของสหรัฐฯ และมีเพียง 22% ที่ส่งไปยังเขตร่ำรวยที่สุด
ฝั่งของผู้ประกอบการจีน ในสภาพแวดล้อมที่นโยบายภายนอกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้ ทำให้ผู้ขายจำนวนมากต้องหาทางปรับตัว เช่น ใช้รูปแบบการจัดส่งแบบเคลียร์ภาษีสองฝ่าย (Double Clearance with Tax Included) คือการที่ผู้ขายส่งสินค้าจากประเทศต้นทางไปยังสหรัฐฯ โดยค่าบริการที่จ่ายให้กับบริษัทโลจิสติกส์จะรวมค่าเคลียร์ภาษีทั้งสองฝั่งไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ บริษัทโลจิสติกส์จำนวนมากมัก แจ้งมูลค่าสินค้าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อให้เสียภาษีน้อยลง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวมเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ผู้ประกอบการจึงหันมาใช้วิธีการแบบนี้กันมากขึ้นเพื่อรับมือกับนโยบายภาษีสหรัฐฯ
เมื่อตลาดสหรัฐฯ เริ่มหดตัว แพลตฟอร์ม Temu วางแผนลดสัดส่วนยอดขายในสหรัฐจาก 60% เหลือ 30% และหันไปเจาะตลาดเกิดใหม่แทน อย่างเช่น ตะวันออกกลางซึ่งมีกลุ่มชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีตลาดขนาดใหญ่จากจำนวนประชากรมาก ซึ่งภูมิภาคเหล่านี้มีความต้องการสูงและความเสี่ยงเชิงนโยบายต่ำ หลายโรงงานเริ่มกระจายแหล่งผลิตหรือตั้งฐานการผลิตในประเทศอื่นๆที่จีนมีข้อตกลงการค้าเสรี ช่วงนี้ประเทศที่ถูกจับตาจากผู้ประกอบจีนมากขึ้น เช่น เม็กซิโก และตุรกี เป็นต้น
บริษัทจีนเริ่มรู้ว่าการไร้เทคโนโลยีและดำเนินธุรกิจนานาชาติแบบไร้กลยุทธ์จะถูกกำจัดออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว บริษัทที่มีเทคโนโลยี แบรนด์ และปฏิบัติตามกฎหมายนานาชาติจะครองตลาดได้อย่างยั่งยืน เช่น Shein ที่กระจายซับพลายเชนไปยังตุรกีและบราซิล พร้อมขยายสายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มพรีเมียม ร่วมมือกับผู้ให้บริการมืออาชีพ อย่าง Easytax เพื่อปรับปรุงการยื่นภาษีและกระบวนการอุทธรณ์ภาษี ลดต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ทั้งนี้ Easytax คือระบบหรือบริการที่ใช้สำหรับจัดการภาษีในการขายสินค้าข้ามพรมแดนโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอียู และสหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งเน้นไปที่การช่วยให้ผู้ขายจากต่างประเทศ สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้องเมื่อขายสินค้าให้กับลูกค้าในยุโรป , ยื่นและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับหน่วยงานภาษีของประเทศนั้นๆ แทนผู้ขาย , ลดภาระด้านเอกสารและความเสี่ยงด้านภาษี สำหรับผู้ขายที่ไม่มีสำนักงานหรือสาขาในยุโรป
สงครามการค้า สำหรับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซจีนเป็นได้ทั้ง วิกฤตและโอกาส การยกระดับอุตสาหกรรม อาจจะต้องทิ้งแนวคิด “แข่งขันตัดราคา” แล้วหันมาเน้นการดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกรอบกฎหมาย แข่งขันกันที่จุดขายที่แตกต่างและขยายสู่ตลาดโลกอย่างมียุทธศาสตร์ ในระยะสั้นต้องควบคุมต้นทุนและลดความเสี่ยง ส่วนระยะยาวควรสร้างคุณค่าแบรนด์และพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเปิดเส้นทางการเติบโตใหม่ท่ามกลางกำแพงภาษี ดังคำกล่าวที่ว่า “การต่อสู้ด้านภาษีเป็นเพียงฉากหน้า การแย่งชิงสิทธิ์ในการควบคุมห่วงโซ่อุตสาหกรรมคือแก่นแท้ —ทรัพย์สินทางปัญญาคือ ‘เงินตรา’ ที่แท้จริง”