xs
xsm
sm
md
lg

เจาะเบื้องหลัง "J-10CE" ที่ปากีฯ ซื้อจากจีน สอย “ราฟาล” ที่อินเดียซื้อจากฝรั่งเศสได้อย่างไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถานีโทรทัศน์กลางของจีน (CCTV) รายงานเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมว่า เครื่องบินรบ J-10CE ซึ่งเป็นเวอร์ชันส่งออกของเครื่องบิน J-10 ที่พัฒนาโดยบริษัท Chengdu Aircraft Industry Group ได้ทำภารกิจรบจริงเป็นครั้งแรก โดยปฏิบัติการร่วมกับกองทัพอากาศปากีสถาน และสามารถสอยเครื่องบินของอินเดียได้หลายลำโดยที่ตนเองไม่ถูกยิงตกแม้แต่ลำเดียว

รายการ “Military Time” ของ CCTV ระบุว่า J-10CE เป็นเครื่องบินรบอเนกประสงค์แบบนั่งเดี่ยว ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เดียว สามารถปฏิบัติการได้ในทุกสภาพอากาศ มีสมรรถนะโดดเด่นทั้งในด้านการรบระยะไกลและการต่อสู้ประชิดตัว มีความสามารถในการบินเร็วเหนือเสียง การขึ้นลงระยะสั้น การโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินด้วยความแม่นยำ และยังรองรับการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ จึงมีรัศมีปฏิบัติการที่กว้างไกล นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์การบิน (avionics) และระบบอาวุธที่ล้ำสมัย รวมถึงเรดาร์แบบ AESA (Active Electronically Scanned Array) ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง ช่วยให้สามารถตรวจจับและติดตามเป้าหมายหลายเป้าหมายในระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จาง เสวี่ยเฟิง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของจีนให้สัมภาษณ์ว่า J-10CE มีจุดแข็งที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง การออกแบบเพื่อลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์อย่างเป็นระบบ เช่น การเคลือบสารพิเศษบนกระจกห้องนักบิน การใช้ช่องอากาศแบบปั๊ม และเรดาร์ที่ติดตั้งในมุมเอียง ซึ่งทั้งหมดช่วยลดค่าการสะท้อนคลื่นเรดาร์ลงถึงระดับ “ลดลงหนึ่งลำดับชั้น” สอง ระบบเรดาร์แบบ AESA ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายจากระยะไกลและทนต่อการรบกวนจากศัตรูได้ดี ทำให้นักบินสามารถตรวจพบและโจมตีศัตรูได้ก่อน และสาม อาวุธปล่อยนำวิถีรุ่นใหม่ที่ติดตั้งกับเครื่องบินรุ่นนี้ เช่น ขีปนาวุธ PL-15E ซึ่งมีระยะยิงไกลและความแม่นยำสูง ช่วยให้สามารถโจมตีศัตรูก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะทันตอบโต้


คำถามที่น่าสนใจคือ เหตุใด J-10CE ซึ่งมีเครื่องยนต์เพียงเครื่องเดียว จึงสามารถเอาชนะเครื่องบินรบ “ราฟาล” (Rafale) ของฝรั่งเศสที่อินเดียใช้งาน ซึ่งมีถึงสองเครื่องยนต์และถือว่าเป็นเครื่องบินที่มีสมรรถนะสูงเช่นกัน จาง เสวี่ยเฟิง อธิบายว่า แม้ราฟาลจะมีการออกแบบแบบทันสมัยและมีความคล่องตัวสูง แต่ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญ เช่น ขนาดเรดาร์ที่เล็กกว่าทำให้ระยะตรวจจับสั้นกว่า และระบบขีปนาวุธที่ติดตั้งมากับราฟาลก็ไม่มีความได้เปรียบด้านระยะยิง จึงทำให้เสียเปรียบในสถานการณ์การรบแบบตัวต่อตัว

บทวิเคราะห์จาก Financial Times และ Nikkei Asia ระบุว่า นี่คือครั้งแรกที่เทคโนโลยีการทหารของจีนได้เผชิญหน้ากับยุทโธปกรณ์ของตะวันตกอย่างเป็นทางการในสถานการณ์รบจริง และยังสามารถแสดงผลงานได้อย่างน่าทึ่ง จึงนับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการทหารของจีนต่อเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสงครามข้อมูล สัญญาณเรดาร์ และการต่อสู้ในคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

การที่กองทัพปากีสถานเลือกใช้ J-10CE อย่างแพร่หลายยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของจีน นักวิเคราะห์จาก George Mason University ระบุว่า อดีตที่ผ่านมา ปากีสถานมักใช้ยุทโธปกรณ์จากประเทศตะวันตกหรือรัสเซีย แต่ในช่วงหลังได้เปลี่ยนมาเป็นจีนแทบทั้งหมด โดยขณะนี้กว่า 81% ของอาวุธของปากีสถานนำเข้าจากจีน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันศักยภาพด้านเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ในระดับที่ลึกซึ้ง


นอกจากนี้ สื่อยังรายงานว่า ประเทศตะวันตกกำลังรอคอยให้อินเดียเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับระบบเรดาร์และการส่งสัญญาณของ J-10C ที่ใช้งานโดยปากีสถาน เพื่อนำไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบป้องกันทางอากาศของตน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลจากการรบในระดับเล็ก แต่มีคุณค่าทางยุทธศาสตร์สูง

การที่ J-10CE แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้เรดาร์ AESA ควบคุมขีปนาวุธระยะไกลได้อย่างแม่นยำ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาอาวุธจีน เทคโนโลยีที่เคยถูกมองว่ายังขาดการพิสูจน์ในสนามรบ ตอนนี้ได้ผ่านการทดสอบในสถานการณ์จริง และสามารถทัดเทียมกับอาวุธจากฝั่งตะวันตกได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ที่มา: 政知新媒体, CCTV, Financial Times, Nikkei Asia, Observer Network


กำลังโหลดความคิดเห็น