ในอนาคตมนุษย์มีแนวโนมแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรน้ำกันมากขึ้น เนื่องจากธารน้ำแข็งซึ่งเปรียบเสมือนหอเก็บน้ำธรรมชาติกำลังละลายหายไปอย่างรวดเร็ว อันหมายถึงแหล่งน้ำจืดที่เหลือน้อยลงทุกวัน
สถาบันสิ่งแวดล้อมภาคตะวันตกเฉียงเหนือในสังกัดสถาบันบัญฑิตวิทยาศาสตร์จีน ( CAS) ระบุว่า ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้ธารน้ำแข็งในประเทศจีนหดตัวลงร้อยละ 26 ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาโดยธารน้ำแข็งขนาดเล็กกว่า 7,000 แห่งอันตรธานไปแล้วและการละลายของธารน้ำแข็งก็ทวีความรุนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ธารน้ำแข็งในจีนส่วนใหญ่มีอยู่ทางภาคตะวันตกและภาคเหนือในภูมิภาคทิเบต ซินเจียง มณฑลเสฉวน ยูนนาน กานซู่ และชิงไห่
ผลการศึกษา ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ของสถาบันเมื่อวันที่ 21 มี.ค. เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างพื้นที่ธารน้ำแข็งทั้งหมดในจีนเมื่อปีพ.ศ. 2563 ซึ่งมีอยู่ราว 46,000 ตารางกิโลเมตรและมีธารน้ำแข็งราว 69,000 แห่งกับในช่วงปีพ.ศ. 2503-2523 ที่มีพื้นที่ธารน้ำแข็งทั้งหมดราว 59,000 ตารางกิโลเมตรและมีธารน้ำแข็งประมาณ 46,000 แห่ง
ขณะที่องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกรายงานว่า ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา โดยมวลธารน้ำแข็งลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
จีนพยายามใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ชะลอธารน้ำแข็งละลาย เช่น การใช้ผ้าห่มคลุมหิมะและระบบทำหิมะเทียม
ที่ราบสูงทิเบตได้ชื่อว่าเป็น “ ขั้วที่สาม” ของโลก นอกเหนือจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกได้ เนื่องจากดินแดนแห่งนี้กักขังน้ำแข็งปริมาณมหาศาล
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นนั้นคาดว่าจะเป็นตัวเร่งให้โลกสูญเสียน้ำแข็งอย่างมากมายเร็วขึ้น ไล่มาตั้งแต่บริเวณขั้วโลกเหนือไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ จากทวีปอเมริกาใต้ไปจนถึงที่ราบสูงทิเบต ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแต่แหล่งน้ำจืดลดลง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีแนวโน้มทำให้ปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมทั่วโลกรุนแรงขึ้นตามมา ยูเนสโกระบุในรายงาน
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเตือนว่า เมื่อหอเก็บน้ำสำคัญในโลกหดหายไปเรื่อยๆ น้ำจืดย่อมเหลือน้อยลง จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการแข่งขันกันแย่งชิงทรัพยากรน้ำกันมากขึ้น นอกจากนี้ ธารน้ำแข็งที่ละลายยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่โลกจะเผชิญกับภัยพิบัติรูปแบบใหม่อีกด้วย
ที่มา : รอยเตอร์