xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : จีนวางรากฐานทักษะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้ประชาชนอย่างไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพลตฟอร์มแชตบอตดีปซีก  (Deepseek) แม้จะเพิ่งเปิดตัว แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจีนทุกระดับและถูกนำไปขยายผลเชื่อมต่อกับงานด้านบริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง (แฟ้มภาพจาก ซีเอ็มจี)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล

ในช่วงนี้ดูเหมือนเรื่องของเทคโนโลยีจีนจะได้รับการจับตาเป็นพิเศษ อย่างเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างแพลตฟอร์มแชตบอตดีปซีก (Deepseek) แม้จะเพิ่งเปิดตัว แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจีนทุกระดับและถูกนำไปขยายผลเชื่อมต่อกับงานด้านบริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง ข่าวต่อมาที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามคือ คณะกรรมการศึกษาธิประจำกรุงปักกิ่งมีแผนที่จะนำวิชาปัญญาประดิษฐ์ บรรจุเข้าสู่หลักสูตรระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา โดยจะเริ่มในเทอมหน้าของปีนี้หรือในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ โดยคณะกรรมการการศึกษาประจำกรุงปักกิ่งได้ออก "แผนปฏิบัติการส่งเสริมการศึกษา AI ในโรงเรียนประถมและมัธยมของกรุงปักกิ่ง (ปี 2025-2027)" มีเป้าหมายเร่งสร้างระบบและรูปแบบการศึกษา AI ระดับประถมและมัธยมศึกษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองหลวง

โครงการเปิดชั้นเรียนในปักกิ่งนี้เสมือนโครงการนำร่อง เป็นตัวอย่างให้เมืองอื่นๆ โดยโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาทั่วกรุงปักกิ่งจะเริ่มสอนวิชาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ AI พร้อมทั้งผลักดันให้ AI มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานของเมืองหลวงอย่างรอบด้าน หลักสูตรความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ AI จะมีชั่วโมงเรียนไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อปีการศึกษา ครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมัธยมปลาย AI จะถูกบรรจุไว้ในกิจกรรมหลังเลิกเรียน กิจกรรมชมรม การศึกษาภาคสนาม และรูปแบบการเรียนรู้เชิงปฏิบัติอื่นๆ

การออกแบบหลักสูตร AI ตามระดับชั้นการศึกษา เช่น ระดับประถมศึกษาเน้นหลักสูตรการเรียนรู้แบบมีประสบการณ์ เพื่อกระตุ้นความสนใจและปลูกฝังแนวคิดด้าน AI ในระดับมัธยมต้น เน้นหลักสูตรเชิงความเข้าใจ โดยมุ่งให้ผู้เรียนสามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการเรียนรู้ได้ และระดับมัธยมปลาย มุ่งเน้นหลักสูตรเชิงปฏิบัติและบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้ AI และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

เด็กๆ กำลังเรียนรู้การทำงานของหุ่นยนต์ (แฟ้มภาพจาก ซีเอ็มจี)
การสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยกับการเรียนรู้ด้าน AI และบ่มเพาะบุคลากร AI ผ่านความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียน กรุงปักกิ่งจะจัดตั้งระบบความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย + บริษัทเทคโนโลยี + โรงเรียนมัธยม เพื่อบ่มเพาะบุคลากร AI ชั้นนำ โดยจัดตั้ง “โครงการเรือนเพาะชำ” (苗圃工)จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างหลักสูตร AI ขั้นสูง สำหรับนักเรียนที่มีศักยภาพโดดเด่น "ห้องเรียนอัจฉริยะแบบสองครู" (รูปแบบการสอนที่ใช้เทคโนโลยี AI และครูที่เป็นมนุษย์ร่วมกัน เพื่อเพิ่มคุณภาพและความเท่าเทียมในการศึกษา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนครูผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญ) เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางการศึกษา สนับสนุนให้มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย บริษัทเทคโนโลยี และพิพิธภัณฑ์ เปิดให้บริการห้องทดลอง AI และศูนย์การเรียนรู้แก่เด็กนักเรียน สร้างศูนย์ฝึกปฏิบัติ AI นอกโรงเรียนสำหรับเด็กประถมและมัธยมศึกษา

ประการสำคัญที่สุดสำหรับการนำ AI เข้าสู่แผนการเรียนคือบุคลากรด้านครูผู้สอน การพัฒนาครูผู้สอน AI แต่ละเขตและโรงเรียนจะคัดเลือกครูจากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีทั่วไป วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ครูที่มีพื้นฐานด้าน AI มารับการฝึกอบรม โรงเรียนและเขตที่มีศักยภาพสามารถจ้างบุคลากรด้าน AI ผ่านการรับสมัคร เปิดรับผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกหรือเปลี่ยนสายงานของครูเดิม จะมีการจัดตั้ง "AI Education Lecturer Team" ในระดับเมืองและเขต โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัทเทคโนโลยีมาสอนในโรงเรียนโครงการอบรมครูภายใต้โครงการ "百千种子计划" (โครงการเมล็ดพันธุ์ AI) มีเป้าหมายฝึกอบรมครูผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวน 100 คน และครูแกนนำด้าน AI จำนวน 1,000 คน เพื่อเป็นกำลังหลักในการสอนวิชา AI มีการสนับสนุนมอบสิทธิพิเศษในด้านการเลื่อนตำแหน่ง การประเมินผลการสอน และค่าตอบแทนให้ครูที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ รัฐบาลจะให้ทุนการศึกษาและวิจัยด้าน AI แก่นักเรียนและนักวิจัย

ด้านการควบคุมดูแลมาตรฐาน AI ในภาคการศึกษา กรุงปักกิ่งจะจัดตั้งศูนย์ทดสอบ AI เพื่อพัฒนามาตรฐานการประเมินผลิตภัณฑ์ AI เพื่อการศึกษา มีการทดสอบศักยภาพของ AI ในด้านการเรียนการสอนและการช่วยเหลือนักเรียน คัดกรองและกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ AI ที่จะนำมาใช้ในโรงเรียนประถมและมัธยมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เหมาะสม

จีนกับงานประชุมแผนการพัฒนาบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (ภาพจากโซเชียลมีเดียจีน เวยปั๋ว)
ดังนั้น สำหรับกรุงปักกิ่งแล้วกำลังเดินหน้าสร้างระบบการศึกษาด้าน AI ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยม โดยเน้นการพัฒนาหลักสูตร AI ที่เป็นมาตรฐาน การบ่มเพาะบุคลากรตั้งแต่ระดับต้น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในโรงเรียน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม เพื่อทำให้กรุงปักกิ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้าน AI ชั้นนำของจีน

การสนับสนุนไม่ใช่แค่จากภาครัฐเท่านั้นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่จีน ยังจะให้การสนับสนุนด้วย เช่น Alibaba, Tencent, Huawei, Baidu พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยให้ครูสามารถปรับแต่งการสอน วิเคราะห์ข้อมูลนักเรียน และให้คำแนะนำอัตโนมัติ ศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัทเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนได้ด้วย สำหรับโครงการฝึกอบรมด้าน AI ยังครอบคลุมถึงการฝึกอบรมแก่ประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ด้วย

แพลตฟอร์มออนไลน์จีน เช่น XuetangX และ NetEase Cloud Classroom มีจะคอร์ส AI มากมาย เพื่อให้ประชาชนทุกระดับเข้าถึงการเรียนรู้ออนไลน์ฟรี โดยรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ออนไลน์ฟรีผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ในอนาคตจีนจะมีการแข่งขัน AI มากขึ้นทั้งระดับชาติและนานาชาติ เพื่อกระตุ้นการพัฒนาทักษะและนวัตกรรม การใช้งาน AI ในชีวิตประจำวันจะส่งเสริมให้ประชาชนใช้เทคโนโลยี AI ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความเข้าใจ มีโครงการนำร่องที่นำ AI มาใช้ในชุมชนและเมืองต่างๆ ต่อมาคือการสร้างความตระหนักรู้ผ่านการประชาสัมพันธ์และกิจกรรมสาธารณะต่างๆ

หากให้นิยามคำจำกัดความการพัฒนาด้าน AI ของจีน ปัจจุบันอยู่ในช่วง “จากเฉพาะกลุ่มสู่การขยายสู่สาธารณะ” จุดเปลี่ยนของ AI ในระบบการศึกษาจีน ศาสตราจารย์หลี่ อี้ปิน สมาชิกสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศจีนและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยซานตง ได้เคยพูดไว้ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของ AI ในการศึกษาจีนเกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มหลักสูตรปริญญาตรีด้าน AI เป็นทางการ สถิติสำคัญของการศึกษาด้าน AI ของจีนใน ปี 2023 มี 400 กว่ามหาวิทยาลัยเปิดสอนหลักสูตร AI และมีนักศึกษาในสาขา AI ระดับปริญญาตรีมากกว่า 20,000 คน หลักสูตร AI ครอบคลุมสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

ประชาชนออกกำลังที่สวนสาธารณะในเซินเจิ้นกับหน้าจอเอไอ  (ภาพจากโซเชียลมีเดียจีน เวยปั๋ว)
จีนไม่ได้สอน AI เพียงอย่างเดียว แต่ใช้แนวคิด "AI+" คือ การผสมผสาน AI เข้ากับสาขาอื่น เช่น AI+คณิตศาสตร์, AI+วิศวกรรม และ AI+การแพทย์ เป็นต้น “จีนมีระบบการศึกษาที่ทำงานเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม” ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของจีน แนวคิด "วิศวกรรมศาสตร์แนวใหม่" (新工科/New Engineering Disciplines) กับ AI ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ในปี 2017 โดยกระทรวงศึกษาธิการของจีนเริ่มผลักดันแนวคิดวิศวกรรมศาสตร์แนวใหม่ที่เน้นการพัฒนา AI, Big Data และการผลิตอัจฉริยะ เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะเชิงนวัตกรรมและการปฏิบัติจริง ให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

การศึกษา AI ในสหรัฐฯ หากเทียบกับจีนแล้ว สหรัฐฯ เน้นวิจัยเชิงลึก จีนเน้นการขยายตัวอย่างรวดเร็ว สหรัฐฯ มีระบบการศึกษา AI ที่เน้นมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น MIT และ Stanford ซึ่งใช้การสอนแบบข้ามสาขาวิชา เปิดกว้างด้านงานวิจัยและร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Google และ Microsoft ในขณะที่จีนเน้นสร้างบุคลากร AI ในปริมาณมาก ผ่านนโยบายภาครัฐและความต้องการของอุตสาหกรรม สำหรับความท้าทายที่จีนต้องเผชิญมีอยู่เช่นกัน เช่น ขาดแคลนครูสอน AI ต้องเร่งอบรมครูเพิ่ม และความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากรการศึกษาระหว่างเมืองและชนบทที่ยังมีมากอยู่

จีนกำลังเปลี่ยนจาก “AI สำหรับคนเก่ง” ไปสู่ “AI สำหรับทุกคน” แผนการศึกษาด้าน AI ของจีนกำลังขยายจากมหาวิทยาลัยชั้นนำสู่โรงเรียนมัธยมและประถมศึกษา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญจากการศึกษา AI แบบเฉพาะกลุ่มไปสู่การศึกษาที่เป็นการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ จีนไม่เพียงแต่ต้องการพัฒนาบุคลากร AI เท่านั้น แต่ยังต้องการให้ประชาชนทุกคนเข้าใจและใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือแนวทางของจีนในการบูรณาการ AI สู่ระบบการศึกษาของจีน อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านลองคิดว่าไทยเราจะพัฒนาด้าน AI อย่างไรในอนาคตและโมเดลของจีนจะสามารถใช้กับไทยได้หรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น