"OpenAI" บริษัทปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำของสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายถึงรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุม DeepSeek
จดหมายความยาว 15 หน้าระบุว่าโมเดล R1 ของ DeepSeek เป็น “ความก้าวหน้าที่น่าจับตามอง” แต่ขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิด "ความเสี่ยงครั้งใหญ่" โดยให้เหตุผลว่า DeepSeek อาจถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานในทางที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เทคโนโลยีของ DeepSeek อาจละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และผู้ใช้งาน DeepSeek อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
OpenAI ยังเสนอให้รัฐบาลสหรัฐฯ นำแนวทางควบคุม AI มาใช้ โดยแบ่งประเทศออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
ระดับแรก: ประเทศที่สนับสนุนหลักการ AI ตามแนวทางประชาธิปไตย เช่น สหรัฐฯ และพันธมิตร ซึ่งสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและการลงทุนด้าน AI ได้เต็มที่ แต่ต้องไม่ใช้ฮาร์ดแวร์ที่ผลิตในจีน
ระดับที่สอง: ประเทศที่อาจมีช่องโหว่ในการควบคุมเทคโนโลยี ซึ่งอาจถูกใช้เป็นทางผ่านไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงสูง
ระดับที่สาม: ประเทศที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม เช่น จีน ซึ่งควรถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ขั้นสูง
นักวิเคราะห์ในจีนมองว่าการเคลื่อนไหวของ OpenAI เป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อสกัดคู่แข่ง โดยเฉพาะเมื่อ DeepSeek กำลังได้รับการยอมรับจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Microsoft และ Amazon ที่เริ่มนำโมเดลของ DeepSeek ไปทดสอบใช้งานบนแพลตฟอร์มของตน
เจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ซีอีโอของ NVIDIA บริษัทผลิตชิป AI รายใหญ่ของโลก กล่าวถึง DeepSeek-R1 ว่าเป็น “นวัตกรรมที่น่าตื่นเต้น”
“DeepSeek-R1 แสดงให้เห็นว่า AI มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องใช้พลังการประมวลผลอีกต่อไป ตรงกันข้าม AI กำลังเติบโต และต้องการทรัพยากรมากขึ้นกว่าเดิม” หวงกล่าว
หลังจาก DeepSeek เปิดตัวโมเดล R1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม ราคาหุ้นของ NVIDIA ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับ AI ลดลงกว่า 16% ภายในเวลาเพียง 3 วัน มูลค่าตลาดหายไปกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 21 ล้านล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของ NVIDIA กลับมาฟื้นตัวหลังจากบริษัทประกาศว่าโมเดลของ DeepSeek สามารถทำงานได้ดีบนแพลตฟอร์มของตน
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก เช่น Microsoft, Google, Meta และ Amazon ต่างประกาศเพิ่มงบลงทุนด้าน AI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ขณะที่ DeepSeek กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการ
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ต้นทุนของ AI จะลดลงในอนาคต ทำให้ธุรกิจจำนวนมากสามารถเข้าถึง AI ได้ง่ายขึ้น และอาจเปิดโอกาสให้เกิดโมเดล AI ใหม่ๆ ที่ทรงพลังมากขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปอย่างสิ้นเชิง
ที่มา: 环球时报国际, TechCrunch, Business Standard
