"กัว เฮ่อเหนียน" (Robert Kuok/郭鹤年) ชายผู้ก่อตั้งโรงแรมหรู Shangri-La และอาณาจักรธุรกิจขนาดมหึมาที่ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมน้ำตาล โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ และสื่อ แม้อายุจะมากถึง 101 ปีแล้ว แต่เขายังคงทำงานทุกวันและยังไม่แต่งตั้งผู้สืบทอดกิจการ
กัว เฮ่อเหนียน เกิดเมื่อปี 2466 ที่มาเลเซียในครอบครัวชาวจีนเชื้อสายฟูเจี้ยน พ่อของเขาทำธุรกิจค้าข้าวและน้ำตาล และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท "ตงเซิงห้าว" ซึ่งเป็นร้านขายของชำที่เติบโตจนกลายเป็นกิจการส่งออกสินค้าเกษตรขนาดใหญ่
ตั้งแต่เด็ก เขาถูกปลูกฝังให้เห็นความสำคัญของความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ เขาเรียนหนังสือที่โรงเรียนภาษาอังกฤษในมาเลเซีย ก่อนจะไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยไลฟ์เฟิลส์ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ ลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เคยศึกษา
หลังเรียนจบ เขากลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว และเริ่มขยายอาณาจักรของตัวเอง
ในปี 2506 กัว เฮ่อเหนียนตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานน้ำตาลแห่งแรกของมาเลเซีย ซึ่งช่วยลดการนำเข้าน้ำตาลและทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว
วันหนึ่งเขาสังเกตเห็นว่า พ่อแม่มักจะใช้ "น้ำตาล" ปลอบเด็กที่ร้องไห้ นี่ทำให้เขามั่นใจว่าน้ำตาลเป็นสินค้าจำเป็นในทุกครัวเรือน และตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ เขาซื้อน้ำตาลจำนวนมหาศาลในช่วงที่ราคาต่ำ และไม่นานหลังจากนั้น พายุเฮอริเคนในคิวบาได้ทำลายไร่อ้อยครั้งใหญ่ ทำให้ราคาน้ำตาลพุ่งสูงขึ้น
ผลจากการคาดการณ์ที่แม่นยำนี้ ทำให้กัว เฮ่อเหนียน ควบคุมตลาดน้ำตาลถึง 5% ของโลก และได้รับฉายาว่า "ราชาน้ำตาลแห่งเอเชีย"
หลังจากประสบความสำเร็จในธุรกิจน้ำตาล กัว เฮ่อเหนียนมองเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมโรงแรม โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน
ในปี 2514 เขาสร้าง "Shangri-La Hotels" โรงแรมหรูแห่งแรกในสิงคโปร์ และใช้เวลาหลายสิบปีขยายสาขาไปทั่วโลก ปัจจุบัน Shangri-La มีมากกว่า 100 แห่งใน 22 ประเทศ และกลายเป็นหนึ่งในเครือโรงแรมหรูที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย
กัว เฮ่อเหนียนให้ความสำคัญกับจีนอย่างมาก และเป็นหนึ่งในนักลงทุนต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้ามาทำธุรกิจในจีน
ในช่วงที่จีนขาดแคลนน้ำตาลอย่างหนักในปี 2516 รัฐบาลจีนได้ติดต่อให้กัว เฮ่อเหนียนช่วยจัดหาน้ำตาลจำนวน 30,000 ตัน
แม้ว่าเขาจะสามารถทำกำไรจากดีลนี้ได้มหาศาล แต่เขากลับขายน้ำตาลให้จีนในราคาต่ำกว่าตลาด และให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมช่วยจีนเพราะผมเป็นคนจีน”
กัวเฮ่อเหนียนเคยพูดว่า หัวใจของเขามีสองซีก ครึ่งหนึ่งผูกพันกับสายเลือดประเทศจีนของบรรพบุรุษ ครึ่งหนึ่งผูกพันกับประเทศที่เขาเติบโตคือมาเลเซีย
เมื่อครั้งที่กัวเฮ่อเหนียนได้พบกับผู้นำเติ้งเสี่ยวผิง
เขาได้เขียนในบันทึกว่า “ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี
1990ผมได้รับเชิญไปพบกับเติ้งเสี่ยวผิง
ท่านได้สร้างความประทับใจแก่ผม “ผู้ยิ่งใหญ่ที่อ่อนน้อมถ่อมตน
แม้ตอนนั้นท่านอายุมากแล้ว ทว่า ในชั่วขณะที่ผมได้เห็นท่าน... ใบหน้าระบายรอยยิ้มน้อย
ภาษาท่าทางทั้งหมดที่แสดงออกมาดั่งคนหนุ่มที่โหยหาเพื่อนใหม่ ถ้อยคำ ภาษากาย ไม่มีร่องรอยใดที่เผยแสดงว่า
“ฉันคือเจ้าของประเทศ คุณคือใคร?”
แม้จะมีทรัพย์สินกว่า 1 ล้านล้านบาท และเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของมาเลเซียต่อเนื่อง 25 ปี แต่กัว เฮ่อเหนียนยังคงไปทำงานทุกวัน
เขาเคยกล่าวว่า “ชีวิตที่ไร้เป้าหมายย่อมไร้ความหมาย”
สำหรับเขา การทำธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทอง แต่เป็น "ความสุข" และ "พลังชีวิต"
แม้กัว เฮ่อเหนียนจะมีลูก 8 คน แต่จนถึงตอนนี้ เขายังไม่แต่งตั้งทายาทที่ชัดเจน
ปัจจุบันลูกสาวคนโต กัว ฮุ่ยกวง เป็นผู้ดูแลธุรกิจโรงแรม Shangri-La ส่วนลูกชายคนเล็ก กัว คงฮว่า เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่กัว เฮ่อเหนียนก็ยังไม่ระบุชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดอาณาจักรของเขา
เขาเคยกล่าวไว้ว่า “หากลูกหลานมีความสามารถเหมือนผม พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีมรดกมากมาย หากไม่มีความสามารถ ต่อให้ให้เงินทองมากมายก็สูญเปล่า”
นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขายังทำงานทุกวัน และยังไม่ส่งมอบกิจการให้ใคร
ที่มา กลุ่มสื่อจีน