xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : เมื่อจีนเริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนมนุษย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กราฟิกแสดงปัญญาประดิษฐ์ที่ก้าวหน้าของจีนเป็นที่จับตาของโลก ทั้งการพัฒนาหุ่นยนต์ และแอปพลิเคชันแชตบอต DeepSeek  (ภาพจากรอยเตอร์)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล

หากคุยเรื่องของจีนแล้ว มองด้านเทคโนโลยีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ มีความก้าวหน้าที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในปีนี้มีด้านของเทคโนโลยีมีข่าวดังอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะแอปพลิเคชันแชตบอต ดีปซีค (DeepSeek) และหุ่นยนต์ Unitree Robot ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมจีนเป็นอย่างมาก เมื่อ DeepSeek ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไม่ใช่แค่ดังไปทั่วโลก ในจีนเองก็ตื่นเต้นกันไม่น้อย ชาวจีนมีการตั้งคำถามในประเด็นต่างๆ กับ DeepSeek และมีหลากหลายคำตอบที่ได้ก็สร้างความฮือฮาไม่น้อย

ไม่นานมานี้มีข่าวว่าแพทย์จีนรายหนึ่งได้นำอาการของคนไข้และผลตรวจที่ได้ ถาม DeepSeek ถึงอาการโรคที่เป็นและแนวทางการรักษา ปรากฏว่าแพทย์รายนั้นตกใจไม่น้อยเมื่อคำตอบที่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคาดไว้ในใจ จึงมีการพูดติดตลกกันว่าเรียนแพทย์แทบตายเป็นสิบปี ความรู้ที่สะสมมาเท่ากับ DeepSeek ที่ถูกพัฒนามาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ รัฐบาลท้องถิ่นหลายมณฑลในจีนเริ่มนำแอปพลิเคชัน DeepSeek มาใช้ในการจัดการบริหารงานของหน่วยงานและบริการประชาชน โดยเมืองเซินเจิ้นเมืองนำร่องด้านเทคโนโลยีได้ประกาศแต่งตั้ง “เจ้าหน้าที่รัฐเอไอ” ที่พัฒนาจาก DeepSeek "เข้ามารับราชการ" ใน 70 ตำแหน่ง สร้างกระแสในโซเชียลมีเดียอยู่ไม่น้อย

โรงพยาบาลหลายแห่งในจีนตบเท้าเข้าสู่ยุคเอไอ โดยนำ DeepSeek มาใช้หลากหลายด้าน เช่น ข้อมูลการแพทย์ แนวการรักษาโรค จนเกิดความวิตกเกินเหตุไปว่า “ต่อไปแพทย์จะตกงานไหม?”  (ภาพจากโซเชียลมีเดียจีน Bilibili )
ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) ได้ปฏิวัติรูปแบบการทำงานของภาครัฐจีนอย่างรวดเร็ว การประยุกต์ใช้ DeepSeek ในภาครัฐของจีนจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่การเป็น "เลขาฯอัจฉริยะ" หรือ "ฝ่ายบริการลูกค้าอัจฉริยะ" เท่านั้น แต่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องและการปรับปรุงการให้บริการ DeepSeek สามารถยกระดับประสิทธิภาพในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลภาครัฐได้อย่างลึกซึ้ง ช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ความคิดเห็นของประชาชน เพิ่มความแม่นยำและความเป็นกลางในการตัดสินใจด้านนโยบาย ปรับปรุงกระบวนการบริหาร เพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐ และเสริมสร้างความไว้วางใจของประชาชน

นักวิจัยด้านระบบอัจฉริยะขององค์กร คุณฉุยย่าหลี ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นในปักกิ่งว่า “DeepSeek สามารถพัฒนาและปรับปรุงอัลกอริทึมของตนเองอย่างต่อเนื่องได้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้รับจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีเอไอ ของจีนก้าวไปข้างหน้าด้วยแนวทางเฉพาะของตนเอง ในด้านการแก้ปัญหาและสนับสนุนการตัดสินใจ”

เมืองต่างๆ ในจีนทยอยประกาศว่าได้ผสานงานที่มีอยู่รวมเทคโนโลยีเอไอ เข้ากับแพลตฟอร์มบริการภาครัฐหรือระบบปฏิบัติการภายใน เช่น เขตฝูเถียนของเซินเจิ้น นำเอไอ Deepseek มาใช้และช่วยลดระยะเวลาในการออกประกาศทางการจาก 5 วันให้เหลือเพียงไม่กี่นาที ขณะที่ความแม่นยำในการแก้ไขรูปแบบเอกสารของภาครัฐมีความถูกต้องเกิน 95% ระยะเวลาในการตรวจสอบลดลงถึง 90% ดังนั้นอัตราความผิดพลาดถูกควบคุมให้อยู่ต่ำกว่า 5% ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามนุษย์ ทั้งนี้ เอไอ ยังช่วยให้รัฐบาลตอบสนองต่อคำร้องขอรับบริการสาธารณะได้เร็วขึ้น ทำให้กระบวนการวิเคราะห์โครงการลงทุนของภาคธุรกิจง่ายขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการมอบหมายงานระหว่างหน่วยงานได้ดีขึ้น

ข่าวเกี่ยวกับ "เจ้าหน้าที่เอไอ" ทำให้เกิดกระแสพูดคุยอย่างกว้างขวางบนโซเชียลมีเดียของจีน โดยประชาชนมีความคิดเห็นตั้งแต่การสนับสนุนไปจนถึงความกังวล บางคนแสดงความคิดเห็นว่า "นี่เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาล" นางซูซาน โจว เจ้าหน้าที่รัฐในเมืองอู๋ซี กล่าวว่า เธอมีความรู้สึกสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้ "การใช้เอไอสร้างบันทึกการประชุมและสรุปเอกสารของรัฐบาลช่วยประหยัดเวลาได้มาก แต่ก็ทำให้รู้สึกโล่งใจชั่วคราว เพราะวันรุ่งขึ้น หัวหน้าบอกว่าฉันต้องหางานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เหนือกว่าความสามารถของ เอไอ

เกี่ยวกับการถกเถียงเรื่อง “เจ้าหน้าที่เอไอ” บนโลกออนไลน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานบริการภาครัฐและการจัดการข้อมูลของเขตฝูเถียน ได้อธิบายกับประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่กังวลไว้ว่า เอไอ เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์ตัดสินใจได้ดีขึ้นและจะไม่มีการเข้ามาแทนที่มนุษย์

หุ่นยนต์ออกมาทำงานพร้อมกับตำรวจในเมืองเซินเจิ้น รับผิดชอบงานตรวจจับ (ภาพจากสื่อจีน Toutiao)
แต่ผู้เขียนมองว่ากระแสสังคมจีนที่มีความกังวลกับการเข้ามาทำงานแทนมนุษย์โดย เอไอ และหุ่นยนต์ก็ค่อนข้างมีมากกว่า มีนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบสาขาการบริหารภาครัฐของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งชื่อว่า น.ส.หวัง ให้ความเห็นว่า รู้สึกกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการหางานหลังจบการศึกษาในปีหน้าเพราะมีเป้าหมายอยากสอบเข้ารับราชการ "การแข่งขันในการสอบบรรจุข้าราชการนั้นเข้มข้นมากอยู่แล้ว และกังวลว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีตำแหน่งงานน้อยลง เพราะเอไอ สามารถทำงานส่วนใหญ่ได้ เมื่อเร็วๆ นี้เธอซื้อหนังสือเกี่ยวกับอัลกอริทึมมาอ่านเยอะมาก หวังว่าจะได้เรียนรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็วและทำให้ตัวเองมีความได้เปรียบในตลาดแรงงาน"

ต้องบอกว่าหลังจาก Deepseek เปิดตัวได้ไม่นาน ก็ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว โดยเฉพาะในระบบงานหน่วยงานรัฐ  เอไอมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจน ประการแรก เอไอสามารถเป็นผู้ช่วยด้านเอกสารราชการได้ดีเพราะสามารถแปล ร่างเอกสาร และการตรวจสอบความถูกต้องโดยอัตโนมัติได้ ทำให้กระบวนการทำงานมีความรวดเร็วและราบรื่น สอง สามารถบริการประชาชน โดยใช้เอไอในการจำแนกประเภทของคำร้อง การสร้างรายงานและดึงข้อมูลสำคัญ ลดปริมาณงานที่ซ้ำซ้อน ลดภาระของเจ้าหน้าที่ และเพิ่มความแม่นยำของบริการ ประการสุดท้าย สามารถบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะได้ เพราะสามารถรวมข้อมูลจำนวนมากและใช้ประมวลผลที่มีข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าและการดำเนินการเชิงรุก

จนปัจจุบันมีการนำ DeepSeek ไปใช้ในเมืองต่างๆ นอกเหนือจากเซินเจิ้น เช่น เมืองเหมยโจว มณฑลกวางตุ้ง ได้เชื่อมต่อสายด่วน 12345 กับ DeepSeek เพื่อรองรับการตอบกลับอัตโนมัติ การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการกรอกแบบฟอร์ม การจำแนกประเภทของคำร้อง และการส่งต่อคำร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว

ที่เมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ได้พัฒนา "Ning Anqing" โมเดล AI สำหรับการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน ช่วยในการแจ้งเตือนความเสี่ยง วิเคราะห์อุบัติเหตุ และจัดสรรทรัพยากรบรรเทาสาธารณภัยได้แม่นยำขึ้น ที่เมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซู ใช้ DeepSeek ในระบบถามตอบอัจฉริยะ เช่น "Xiaoyun" สามารถช่วยให้ประชาชนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

การนำเอไอไปใช้ในหน่วยงานและโรงพยาบาล
เช่น ปัจจุบันโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยการแพทย์ฝูเจี้ยน ใช้ DeepSeek เพื่อช่วยแพทย์ในการจัดทำเวชระเบียน ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการรักษา และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร ลดภาระงานเอกสารและเพิ่มเวลาในการดูแลผู้ป่วย และจะมีการใช้ DeepSeek กว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ


ความท้าทายและข้อจำกัดของ DeepSeek ก็มีเช่นกัน แม้ว่าการใช้เอไอในระบบราชการจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ยังคงเผชิญกับอุปสรรค เช่น ระบบราชการมีข้อมูลจำนวนมากที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากฐานข้อมูลของเอไอไม่ได้รับการอัปเดตอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การให้ข้อมูลที่ผิดพลาด ความปลอดภัยของข้อมูลก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะต้องรับมือกับข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลด้านสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคนิคป้องกันปกปิดข้อมูล (Data Masking) และการตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูลอย่างรัดกุม ความเสี่ยงจากการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่องานบริหาร จึงจำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบและการแทรกแซงของมนุษย์ในกระบวนการตัดสินใจอยู่

อนาคตอันใกล้ของเอไอในภาครัฐจีน DeepSeek จะช่วยให้สามารถทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มากขึ้น โดยเอไอจะเข้ามาช่วยในงานที่เป็นกิจวัตรและใช้เวลามาก นอกจาก DeepSeek ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มากมายแล้ว ยังมีหุ่นยนต์ที่จะเข้ามามีบทบาทในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ทั้งด้านการผลิต การเกษตร โลจิสติกส์และการบริการ โดยล่าสุดนี้มีข่าวว่า สำนักงานเขตยี่จวงของกรุงปักกิ่งได้อนุมัติงบ 5 ล้านล้านหยวนสำหรับจัดหาหุ่นยนต์แบบต่างๆ 10,000 ตัวเพื่อให้บริการในโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สถานบริการ สถานสาธารณะต่างๆ

ข่าวนี้มีประชาชนแสดงความเห็นอยู่ไม่น้อย ผู้เขียนสะดุดอยู่ความเห็นหนึ่งที่มีคนกดไลก์จำนวนมากระบุว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คนจะตกงาน เมื่อคนตกงานมากขึ้น สังคมจะย่ำแย่ลง เมื่อสังคมย่ำแย่ลง พวกที่มีเงินมีอำนาจก็คงจะไม่ได้อยู่สุข จะเกิดผลลบอย่างแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู!” ทั้งนี้เพราะเอไอ และหุ่นยนต์พัฒนาเร็วกว่ามนุษย์และเข้ามามีบทบาทในสังคมอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนภัยคุกคามมนุษย์

สุดท้ายผู้เขียนมองว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนมนุษย์ก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอด และทุกวันนี้การพยายามเรียนรู้และทักษะหลายอย่างก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ถึงเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่มีทางเลือกกันแล้ว…ในยุคที่ AI และหุ่นยนต์กำลังจะครองโลก ขอให้กำลังใจกับผู้อ่านทุกๆ ท่าน


กำลังโหลดความคิดเห็น