xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : อนาคตของจีนจะเป็นอย่างไร?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจัดการประชุมสัมมนาผู้ประกอบการภาคเอกชนจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ (แฟ้มภาพซินหัว)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล

ในช่วงนี้จีนมีการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่น่าสนใจ ทำให้หลายคนตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับการพัฒนาของจีนในอนาคต ที่ผ่านมาจีนก็เหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่เริ่มต้นจากการรับการลงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ คือการดึงดูด ซึมซับประสบการณ์และพัฒนาต่อยอด กว่าสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมาจีนรับการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนามาจนเป็น “โรงงานโลก” และความเป็นโรงงานโลกของจีนก็ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ จีนพยายามพัฒนาเพิ่มมูลค่าสินค้ามากขึ้น มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีมากขึ้น ทั้งนี้เพราะความกระตือรือร้นของเอกชนและการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล

จีนเป็นหนึ่งประเทศที่ทั่วโลกจับตา เพราะขนาดเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาของประเทศในหลายๆ ด้านก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเติบโตในอนาคตของจีนจึงเป็นที่สนใจและเป็นที่จับตาอย่างมากมีการคาดเดาว่า “จีนจะก้าวขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจที่เปิดกว้าง” การประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 20 ได้กำหนดแนวทางโดยรวมเกี่ยวกับการเปิดกว้างของจีน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งศึกษามาตรการ เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบทางเศรษฐกิจและการค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานสูงสุด และการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจแบบฝ่ายเดียวให้แก่ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs)

_“เอไอจีน” สร้างข่าวฮือฮาทั่วโลกในเดือนมกราคมที่ผ่านมา  เมื่อแอปพลิเคชันแชตบอตจีน DeepSeek มาแรง ชนิดที่ว่าตอนเปิดตัวแซงหน้า ChatGPT ขึ้นเป็นแอปพลิเคชันฟรีอันดับ 1 บน App Store ของสหรัฐฯ (แฟ้มภาพ รอยเตอร์)
จากประเทศที่ให้ฟรีวีซ่ากับประเทศอื่นๆ ค่อนข้างยาก ปัจจุบันจีนดำเนินนโยบายผ่อนคลายด้านวีซ่ามากยิ่งขึ้น เช่น ยกเว้นวีซ่า 144 ชั่วโมงสำหรับการเดินทางแบบฝ่ายเดียวให้กับประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ในอนาคตมีแนวโน้มว่าจีนจะขยายมาตรการยกเว้นวีซ่ามากขึ้น รวมถึงการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจร่วมมือกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาอยู่ในระดับปานกลางและต่ำมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างที่สุดในโลก

ต่อมาภายในปี 2035 จีนจะเข้าใกล้สถานภาพประเทศเศรษฐกิจชั้นนำมากขึ้น จากเมื่อ 75 ปีที่แล้วคือยุค "ลุกขึ้น" (ตั้งหลักอย่างมั่นคง) ถึงยุค "มั่งคั่งขึ้น" และไปสู่ยุค "แข็งแกร่งขึ้น" หมายถึง การเข้าสู่การเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย หากนับจากปี 2020 เศรษฐกิจจีนเติบโตเฉลี่ย 4.7-5% ต่อปี และเป้าหมายของจีนคือจะไม่เติบโตต่ำไปจากนี้ ทำให้ภายในปี 2035 รายได้เฉลี่ยต่อหัวของจีนจะเข้าสู่ระดับเดียวกับประเทศที่พัฒนาในระดับปานกลางและระดับสูง ซึ่งหมายความว่าประชาชนจีนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

มีผู้เชี่ยวชาญมองว่าในเวลาไม่ถึง 10 ปีหลังจากนี้ จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ปัจจุบันจีนอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลกในด้านนวัตกรรม แต่จะก้าวขึ้นสู่ 5 อันดับแรกของโลกในเวลาอีกไม่นาน หากสหรัฐฯ ไม่ใช้มาตรการกีดกันหรือกดดันทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น บริษัทจีนอาจยังคงพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานและระบบเศรษฐกิจโลกแบบเดิม แต่เนื่องจากแรงกดดันจากภายนอก ทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ซึ่งขณะนี้ภาคนวัตกรรมเป็นภาคที่จีนเติบโตเร็วที่สุด มีความก้าวหน้าเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน ดังนั้นก็เป็นที่จับตามากที่สุด


จีนมีสถานีฐาน 5G กว่า 3.5 ล้านแห่ง และระบบดาวเทียม เป่ยโต่ว (Beidou) ครอบคลุมกว่า 230 ประเทศ/ภูมิภาค  ในภาพ: จีนส่งดาวเทียมนำทางเป่ยโต่วดวงที่ 59-60 ขึ้นสู่อวกาศในเดือนกันยายน 2024 (แฟ้มภาพซินหัว)
ในโลกของ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ในแง่ของการใช้งานและระดับการพัฒนาต้องบอกว่าจีนสามารถทัดเทียมกับสหรัฐฯ ได้แล้ว แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีต้นน้ำและนวัตกรรมดั้งเดิม แต่จีนมีความสามารถที่เหนือกว่าในด้านของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของจีนล้ำหน้ากว่าทั้งสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ปัจจุบันจีนมีสถานีฐาน 5G กว่า 3.5 ล้านแห่ง และระบบดาวเทียมเป่ยโต่ว (Beidou) ครอบคลุมกว่า 230 ประเทศและภูมิภาค ปัจจุบันเกือบ 140 ประเทศทั่วโลกมีการลงนามความร่วมมือกับจีน

จากสถานการณ์ปัจจุบันจีนและสหรัฐฯ กำลังเกิดการแบ่งแยกทางเทคโนโลยี (Tech Decoupling) โดยสหรัฐฯ มุ่งเน้นพัฒนาการปฏิวัติด้านการค้นหาและการขยายขีดความสามารถของสมองมนุษย์ ขณะที่จีนอาศัยขนาดภาคการผลิตที่คิดเป็น 30% ของโลก ควบคู่ไปกับการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสร้างความก้าวหน้าครั้งใหญ่

อนาคตจีนจะมีความก้าวหน้าอย่างมากในระบบการบริหารจัดการประเทศสมัยใหม่ และจะกลายเป็นต้นแบบสำคัญของการพัฒนาสู่ความทันสมัย สำหรับประเทศกำลังพัฒนาและประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนจะผลักดันโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative - BRI) ต่อไปอีกให้มั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทั่วโลกมองเห็นแนวทางของจีน แนวคิดของจีน และพลังของจีนในการพัฒนาระดับโลก และตรงนี้อีกจะเป็นการขยายอำนาจและอิทธิพลจีนในเวทีโลก ดังนั้นอิทธิพลระหว่างประเทศของจีนจะเพิ่มขึ้น ความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของจีนจะสูงขึ้น

แต่ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังมีอนาคตที่สดใส แต่ก็กำลังประสบปัญหาและอุปสรรคทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่หลายอย่าง ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่สะสมมานานจากการพัฒนาในช่วงต้นๆ ที่พึ่งพิงภาคอสังหาริมทรัพย์มากจนเกินไป ปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นที่มีจำนวนมหาศาล ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำของประชาชนในประเทศที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาสังคมสูงอายุมาพร้อมกับอัตราการเกิดที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง ปัญหาด้านการต่างประเทศและการกีดกันต่างๆ จากฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งความท้าทายของพรรคคอมมิวนิสต์ในการบริหารประเทศที่ประชาชนตื่นตัวและรู้กันมากกว่าแต่ก่อน และต้องปรับตัวกับยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา

หุ่นยนต์พัฒนาโดยบริษัทจีน Unitree H1 ยืนผงาดอยู่บนเวทีการประชุมใหญ่ของ Nvidia (GTC 2024) โดยเป็นหนึ่งใน “พยานของยุคแห่งการปฏิวัติ เอไอ โลก”
หากเราดูการผลักดันการปฏิรูปอย่างลึกซึ้งของจีนในปัจจุบันมีการยึด 3 แนวทางหลัก คือ หนึ่งแนวทางที่เน้นการแก้ปัญหา โดยมุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งและปัญหาทางโครงสร้างเชิงลึกในระบบของจีน ในการนี้ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เสนอแนวทางแก้ไขเชิงระบบเพื่อผลักดันการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง

สอง
คณะกรรมการกลางได้กำหนดเป้าหมายที่สำคัญในปี 2029, 2035 และ 2050 โดยเป้าหมายของการปฏิรูปครั้งนี้คือการทำให้ความทันสมัยในรูปแบบของจีนบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวัง และสร้างประเทศให้เป็นรัฐสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050

สาม
แนวทางที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง การปฏิรูปมุ่งสร้างระบบบริหารประเทศที่ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นหลักและพัฒนาขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการของรัฐบาล เพื่อลดปัญหาความไม่แน่นอน ความตามอำเภอใจและการทำงานที่เป็นเพียงพิธีกรรมของหน่วยงานรัฐ โดยมุ่งแก้ไขปัญหาการพัฒนาภายในประเทศ รวมถึงข้อบกพร่องในระบบการบริหารและโครงสร้าง

ผู้เขียนมองว่าอนาคตของจีนที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ทรัพยากรมนุษย์และบุคลากรของจีนระดับชั้นหัวกะทิ จะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของจีนในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น สตาร์ทอัปหลายรายของจีน ผู้ก่อตั้งมีอายุไม่เกิน 40 ปีกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้ง Deepseek นายเหลียงเหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งบริษัท Unitree Robotics นายหวังซิงซิง ซึ่งทั้งสองเป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้ไปร่วมพบปะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่เรียกพบประชุมสัมมนากับผู้ประกอบการจีนเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสำคัญระหว่างผู้นำสูงสุดกับกลุ่มบริษัทเอกชนในรอบ 7 ปี สร้างความฮือฮาให้สังคมจีนและโลกไม่น้อย

โดยเฉพาะนวัตกรรมของ Deepseek ปัจจุบันค่อยๆ ถูกใช้อย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นในภาคประชาชนหรือภาครัฐบาล อย่างเช่นข่าวล่าสุดในจีนรายงานว่า รัฐบาลท้องถิ่นนครเซินเจิ้นได้นำ “เจ้าหน้าที่เอไอ” ที่พัฒนาโดย Deepseek เข้ามารับราชการใน 70 ตำแหน่ง ซึ่งช่วยประบปรุงประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานรัฐและไม่มีข้อผิดพลาด เป็นต้น โดยเฉพาะในงานส่วนประมวลผลและจัดคัดแยกข้อมูล ถือว่า Deepseek ทำได้ดีมาก


Unitree Robotics เป็นบริษัทหุ่นยนต์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดยนายหวางซิงซิง บริษัทนี้มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหุ่นยนต์สี่ขาและหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีความสามารถสูง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ได้ หุ่นยนต์สี่ขาและหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ได้ถูกนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม หุ่นยนต์ของ Unitree Robotics ถูกนำมาใช้ในงานที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน เช่น การสำรวจพื้นที่ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงได้ การลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือการค้นหาผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ไฟไหม้ ด้วยความสามารถเหล่านี้ Unitree Robotics ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และมีบทบาทสำคัญในการนำหุ่นยนต์มาใช้ในชีวิตประจำวันและภาคอุตสาหกรรม และมีข้อมูลยืนยันว่าหุ่นยนต์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านการทหารจีนแล้ว

ในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย จะเห็นได้ว่าจีนพยายามดิ้นเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าต่อไปและหาวิธีอื่นๆ ที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา อนาคตจีนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตาในด้านการเติบโตและการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเทคโนโลยีด้านต่างๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น