xs
xsm
sm
md
lg

สื่อจีนวิเคราะห์ : "ทำไมมาตรการตัดเน็ต-ตัดไฟ-ตัดน้ำมันที่เมียวดี ยังไม่อาจหยุดแก๊งคอลเซ็นเตอร์?"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพแสดงที่ตั้งของเคเค พาร์ค แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติรายใหญ่ในเมียวดี ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพียงมีแม่น้ำเมยกั้น (ภาพจากสื่อจีน)
กลุ่มสื่อจีนรายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลไทยเริ่มดำเนินมาตรการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า และน้ำมันใน 5 พื้นที่ชายแดนไทย-พม่า รวมถึงเมืองเมียวดี หนึ่งในศูนย์กลางของอาชญากรรมข้ามชาติ-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่รายงานสื่อจีนระบุว่า เหล่ากลุ่มมิจฉาชีพจำนวนมากในเมียวดี ยังคงดำเนินการได้ตามปกติ โดยใช้เครื่องปั่นไฟและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตดาวเทียม เช่น สตาร์ลิงก์

นอกจากนี้ แม้มาตรการดังกล่าวจะทำให้การลักลอบขนส่งทรัพยากรเข้าไปในพื้นที่ยากขึ้น แต่ไม่ได้เพิ่มโอกาสให้เหยื่อที่ถูกหลอกสามารถหลบหนีออกจากขุมนรกของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ง่ายขึ้น เพราะองค์กรเหล่านี้ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา

เมียวดี : สวรรค์แห่งใหม่ของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ 

เมียวดีเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถูกระบุว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งขบวนการค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ ไปจนถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีศูนย์ใหญ่กว่า 30 แห่งกระจายตามจุดต่างๆ ในบริเวณชายแดนพม่า

เดิมที แก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้มีฐานที่มั่นในกัมพูชา แต่หลังจากที่รัฐบาลจีนและกัมพูชาร่วมกันปราบปรามในปี 2562 กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้จึงย้ายฐานไปยังพม่า โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่มีกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยควบคุมอยู่

องค์กรอาชญากรรมในเมียวดีแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ และถูกควบคุมโดยกองกำลังติดอาวุธที่แตกต่างกัน เช่น โซนเหนือควบคุมโดย "กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง" (BGF) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพพม่า ส่วนโซนกลางอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธ โซนใต้ (KK Park และเขตอื่นๆ) มีทั้ง BGF และกองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู (KNU) ควบคุม

การที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีระบบป้องกันแน่นหนาและได้รับการคุ้มครองจากกลุ่มติดอาวุธ ทำให้การบุกเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อเป็นไปได้ยาก องค์กรกู้ภัยเอกชนจึงมีบทบาทสำคัญ หนึ่งในนั้นคือทีมของ "หูฉีเตา" (胡七刀) ซึ่งเป็นนักธุรกิจและผู้นำหน่วยกู้ภัยในไทย

ในปี 2566 หูฉีเตานำทีมช่วยเหยื่อออกจากเมียวดีสำเร็จหลายสิบราย แต่การเข้าไปช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยทั้งเครือข่ายและแผนการที่ซับซ้อน เช่น ในกรณีหนึ่ง เหยื่อต้องแกล้งป่วยหนักเพื่อขออนุญาตออกไปรักษา และต้องรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อหลบหนี

อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือเหยื่อจากศูนย์คอลเซ็นเตอร์ในเมียวดีไม่เพียงแต่มีความเสี่ยงสูง ยังกลายเป็น "ธุรกิจ" สำหรับบางกลุ่ม โดยมีการเรียกเก็บค่าไถ่เพื่อช่วยเหลือเหยื่อ ทำให้ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนของสถานการณ์


ค่าไถ่สูงถึงหลักแสน! เหตุใดการช่วยเหลือเหยื่อจึงกลายเป็นธุรกิจ?

หากเหยื่อต้องการได้รับการช่วยเหลือจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียวดี ส่วนใหญ่มักต้องจ่ายค่าไถ่ ซึ่งเรียกว่า "ค่าชดเชย" หรือ "ค่าปล่อยตัว" โดยครอบคลุมค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายของแก๊งค้ามนุษย์ และเงินที่จ่ายให้กองกำลังติดอาวุธเป็นค่าธรรมเนียมปล่อยตัวเหยื่อ

จากการสำรวจพบว่า ค่าไถ่ในศูนย์ต่างๆ ไม่เท่ากัน เช่น ศูนย์ KK Park 1,500-2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 50,000-80,000 บาท) ศูนย์ไท่ชาง 6,000-12,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 210,000-420,000 บาท)

บางกรณี หากเหยื่อเป็นพนักงานที่ทำงานมานานและสร้างรายได้ให้แก๊งมิจฉาชีพมาก ค่าไถ่อาจสูงถึง 300,000 หยวน (ประมาณ 1.5 ล้านบาท)

มีบางกรณีที่ "ผู้ช่วยเหลือ" กับ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" เป็นเครือข่ายเดียวกัน กล่าวคือ มีการจัดฉากช่วยเหลือ เพื่อให้เหยื่อดูเหมือนถูกปล่อยตัวโดยสมัครใจ ซึ่งช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีหลังกลับประเทศ

ปัญหาการพิสูจน์ตัวตน : เหยื่อจริงหรือผู้ต้องสงสัย?

หนึ่งในปัญหาสำคัญของการช่วยเหลือเหยื่อจากเมียวดีคือ การพิสูจน์ว่าเหยื่อเป็น "ผู้เสียหาย" หรือเป็น "ผู้สมรู้ร่วมคิด" เพราะมีบางกรณีที่ผู้ต้องสงสัยพยายามแสร้งทำเป็นเหยื่อเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี

หูฉีเตาเผยว่า เขาเคยเจอกรณีที่คนอ้างว่าถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์คอลเซ็นเตอร์ แต่เมื่อสอบถามครอบครัว กลับพบว่าเจ้าตัวสมัครใจเข้าร่วมตั้งแต่ต้น

นอกจากนี้ ยังมีบางรายที่ได้รับการช่วยเหลือออกจากศูนย์คอลเซ็นเตอร์ แต่กลับต้องการกลับเข้าไปอีก เพราะต้องการหางานใหม่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน


อนาคตของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ : ย้ายฐานไปที่ไหนต่อ?

แม้รัฐบาลไทยจะเริ่มใช้มาตรการกดดันศูนย์คอลเซ็นเตอร์ในเมียวดี แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดปัญหานี้ได้ราบคาบ รายงานระบุว่า ขณะนี้มีบางกลุ่มเริ่มเคลื่อนย้ายฐานไปยังเมืองทางตอนเหนือของพม่า กัมพูชา และฟิลิปปินส์

โดยเฉพาะกัมพูชา ซึ่งเริ่มมีการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมบ่อนพนันนี้ เนื่องจากการควบคุมจากรัฐบาลไม่เข้มงวดเท่าฟิลิปปินส์

ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการกับศูนย์คอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ คือความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น การตัดเสบียง ไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ตในระยะยาว รวมถึงการดำเนินการปราบปรามทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นต้องสร้างมาตรการระหว่างประเทศในการช่วยเหลือและคัดกรองเหยื่อ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ และป้องกันไม่ให้แก๊งมิจฉาชีพใช้ช่องทางนี้ในการล้างประวัติของตนเอง

ที่มาข้อมูลข่าว: 南方都市报


กำลังโหลดความคิดเห็น