xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤติการเงินจีนร้อนระอุ! ตลาดพันธบัตรปั่นป่วน แบงก์อ่วม หนี้ท่วม รัฐบาลจะรับมือไหวหรือไม่?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ระบบการเงินจีนกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาล ท่ามกลางตลาดพันธบัตรที่ผันผวน วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่จบ และภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย นักวิเคราะห์เตือนว่าหากไม่มีมาตรการที่เด็ดขาด อาจเกิดภาวะ “อะไรบางอย่างพังทลาย” ในระบบการเงิน

ตลาดพันธบัตรจีนกำลังเผชิญความปั่นป่วน โดยตลอดปีที่ผ่านมา ข่าวลือเกี่ยวกับการปราบปรามเก็งกำไรและการขึ้นค่าธรรมเนียมซื้อขายพันธบัตรล่วงหน้าส่งผลให้เกิดแรงเทขาย แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะออกมาปฏิเสธว่าเป็นข่าวปลอม แต่นักลงทุนยังคงตื่นตระหนก

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปี ร่วงลงเหลือเพียง 1.65% ซึ่งใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และลดลงจาก 2.8% เมื่อปีที่แล้ว นักวิเคราะห์เปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2007-2009 ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดกำลังกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจชะงักงันในระยะยาว

วิกฤติในตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบการเงินของจีน รัฐบาลจีนมีแผนให้รัฐบาลท้องถิ่นซื้อบ้านที่ขายไม่ออกจำนวน 32 ล้านยูนิต ขณะที่ยังมีอีก 49 ล้านยูนิตที่ยังว่างเปล่า แต่เพื่อให้แผนนี้สำเร็จ ราคาบ้านต้องลดลงมากกว่า 50% เพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธนาคารที่ใช้บ้านและที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เมื่อมูลค่าหลักทรัพย์ลดลง ธนาคารต้องกันเงินสำรองเพิ่มขึ้น และอาจต้องเผชิญกับภาวะหนี้เสียที่พุ่งสูงขึ้น

ธนาคารจีนกำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน การปล่อยกู้เพื่อที่อยู่อาศัยลดลงอย่างมาก โดยในปี 2015 สินเชื่อที่อยู่อาศัยคิดเป็น 43% ของสินเชื่อใหม่ทั้งหมด แต่ในปี 2023 ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 1% เนื่องจากประชาชนไม่กล้ากู้ซื้อบ้าน ในขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก กำลังพึ่งพาสินเชื่อมากขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงผิดนัดสูง ด้านการออมของประชาชนจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่กล้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้น แต่การออมที่มากขึ้นไม่ได้เป็นผลดีต่อธนาคาร เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น แม้จะลดลงจาก 4% เหลือเพียง 1.6% ก็ตาม


ธนาคารจีนกำลังเผชิญกับส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin - NIM) ที่ลดลงอย่างอันตราย เช่น ธนาคารเซี่ยงไฮ้มี NIM เพียง 0.9% ในเดือนมีนาคม 2567 ขณะที่ธนาคารเซี่ยเหมินเหลือเพียง 0.6% ในเดือนมิถุนายน 2567 ระดับนี้ใกล้จุดที่ธนาคารจะไม่สามารถทำกำไรได้เพียงพอ และอาจทำให้สถาบันการเงินขนาดเล็กต้องล้มลง

รัฐบาลจีนอาจต้องดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการที่เป็นไปได้ ได้แก่ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน การออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่ม ซึ่งในเดือนธันวาคม 2567 รัฐบาลจีนออกพันธบัตรมูลค่า 1.8 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อช่วยให้รัฐบาลท้องถิ่นรีไฟแนนซ์หนี้ และอาจต้องออกเพิ่มอีกหากต้องการใช้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทางออกอีกทางหนึ่งคือการคลายมาตรการควบคุมเงินทุน (Capital Controls) เพื่อให้เงินทุนสามารถไหลออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าหากเปิดให้เงินไหลออก อาจเกิดกระแสเงินทุนไหลออกครั้งใหญ่ และรัฐบาลจีนต้องการหลีกเลี่ยงปัญหานี้มากกว่าที่จะยอมปล่อยให้เกิดขึ้น ดังนั้น แทนที่จะเปิดเสรีทางการเงิน ทางการจีนอาจเลือกเข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันเงินไหลออก

จีนกำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่รุนแรง ภาคอสังหาริมทรัพย์อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นตัว ขณะที่ธนาคารต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสินเชื่อด้อยคุณภาพ และนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและแห่เก็บเงินสดแทนการลงทุน ทางออกในระยะสั้นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจและการอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดการเงิน แต่ในระยะยาว จีนต้องหาทางปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาอสังหาริมทรัพย์เป็นกลไกหลักในการเติบโต อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ความเสี่ยงของ “ฟองสบู่แตก” ในระบบการเงินจีนก็จะเพิ่มขึ้นทุกวัน

ที่มา: กลุ่มสื่อต่างประเทศ


กำลังโหลดความคิดเห็น