ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาอาศัยอำนาจฝ่ายบริหาร ลงนามรับรองคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากจีนอีก 10% เมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) ซึ่งมีผลบังคับใช้ในอีก 3 วันต่อมาทันที
ในการประกาศคราวเดียวกันนี้ ทรัมป์ยังขึ้นภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาด้วย แต่ได้มีการผ่อนผันในที่สุด โดยตกลงระงับการขึ้นภาษี 30 วันแลกกับการยินยอมให้สหรัฐฯ บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับชายแดนและอาชญากรรมร่วมกับสองชาติเพื่อนบ้านนี้
ทรัมป์อ้างเหตุผลการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแดนมังกรว่า เนื่องจากจีนไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในการสกัดกั้นยาเสพติดในรูปของยาแก้ปวดเฟนทานิลซึ่งผลิตในจีนไม่ให้ไหลเข้าสหรัฐฯ แม้เขาได้กล่าวเตือนจีนมาแล้วหลายครั้งหลายหน
อย่างไรก็ตาม พญามังกรให้คำตอบแก่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอีกฝ่ายบ้าง ซึ่งมีขึ้นหลังจากมาตรการขึ้นภาษีของมะกันมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ก.พ.) ได้เพียงไม่กี่นาที โดยก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG ) และถ่านหินถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 15% น้ำมันดิบ อุปกรณ์การเกษตร รถยนต์ขนาดใหญ่และรถกระบะ 10%
นอกจากนี้ จีนยังเริ่มการสอบสวนกูเกิลบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ฐานต้องสงสัยละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน รวมถึงขึ้นบัญชีดำ 2 บริษัทคือ PVH Corp เจ้าของแบรนด์คาลวินไคลน์และแบรนด์แฟชั่นอื่นๆ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Illumina โดยใส่ไว้ใน "รายชื่อนิติบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ"
เท่านั้นยังไม่พอ ด้านกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรแดนมังกรยังประกาศควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากและโลหะบางชนิด ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการผลิตอุปกรณ์ไฮเทคและการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด โดยจีนอ้างการปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ
มาตรการขึ้นภาษีของจีนจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 โดยยังให้เวลาสำหรับการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงกัน ด้านโฆษกทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์จะคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในสัปดาห์นี้
ช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกเมื่อปี 2561 ทรัมป์เป็นฝ่ายเริ่มทำสงครามการค้ากับจีน โดยอ้างจีนเอาเปรียบจนส่งผลให้เกินดุลการค้าสหรัฐฯ มหาศาล ชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสองประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าตอบโต้กันแหลก รวมมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจโลก
ในการปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจจีนเติบโต อ็อกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ระบุว่า สงครามการค้ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากันอีก
ทรัมป์ขู่เมื่อวันจันทร์ (3 ก.พ.) ว่าหากจีนไม่ยับยั้งยาเฟนทานิลไหลเข้าสหรัฐฯ ก็อาจรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่ม แต่จีนสวนกลับว่า การแพร่ระบาดของเฟนทานิลเป็นปัญหาของสหรัฐฯ เอง และจีนจะยื่นเรื่องที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าต่อองค์การการค้าโลก (WTO)
สหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าน้ำมันดิบที่ค่อนข้างเล็กสำหรับจีน หรือ 1.7% ของการนำเข้าในปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนการนำเข้า LNG ของจีนนั้น กว่า 5% มาจากสหรัฐฯ
แกรี่ อึ้ง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Natixis ในฮ่องกงมองว่า การบรรลุข้อตกลงกับจีนคงไม่ใช่เรื่องหมูๆ เหมือนอย่างที่ทรัมป์ทำกับแคนาดาและเม็กซิโกสำเร็จ
ที่มา : รอยเตอร์/โกลบอลไทมส์