ช่วงต้นปี 2568 วงการเทคโนโลยีทั่วโลกต้องสั่นสะเทือนเมื่อ DeepSeek โมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากจีน ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจนแซงหน้า ChatGPT และส่งผลกระทบต่อหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มกราคม DeepSeek ได้เปิดตัว Janus-Pro ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโมดอล (รองรับทั้งข้อความและภาพ) บนแพลตฟอร์ม GitHub โดยระบุว่าสามารถเอาชนะ Stable Diffusion และ DALL-E 3 ของ OpenAI ในการทดสอบมาตรฐาน GenEval และ DPG-Bench นอกจากนี้ Janus-Pro และโมเดลในตระกูล Janus อีก 3 รุ่น ยังเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์ส
ความสำเร็จของ DeepSeek ทำให้บุคคลสำคัญในอุตสาหกรรม AI ออกมาแสดงความคิดเห็น โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และแซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI ต่างยอมรับว่า DeepSeek เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง
มาดูเทคโนโลยีเด่นๆของ DeepSeek
DeepSeek มีจุดแข็งสำคัญใน 8 ด้าน ได้แก่
1.ความสามารถด้านตรรกะและการแก้ปัญหา
2.การเข้าใจและสร้างภาษาที่เป็นธรรมชาติ
3.การวิเคราะห์ภาพและวิดีโอ
4.การรู้จำและสังเคราะห์เสียงพูด
5.การแนะนำเนื้อหาแบบเฉพาะบุคคล
6.การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
7.การเรียนรู้ข้ามรูปแบบข้อมูล (Cross-modal Learning)
8.การโต้ตอบแบบเรียลไทม์
DeepSeek vs ChatGPT
DeepSeek เน้นกลยุทธ์ที่แตกต่างจาก OpenAI และไม่ได้เลียนแบบ ChatGPT แต่พัฒนาโมเดลที่ตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะด้านมากขึ้น ขณะที่ ChatGPT เป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ นักวิเคราะห์มองว่า DeepSeek มีแนวโน้มถูกใช้งานในแอปพลิเคชันที่ต้องการความแม่นยำสูง
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ DeepSeek คือ ต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำกว่า โดยใช้เงินลงทุนไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 216 ล้านบาท) ขณะที่ AI ของ OpenAI มีต้นทุนสูงกว่ามาก
หลัง DeepSeek เปิดตัว หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ร่วงลงหนัก โดยเฉพาะ Nvidia ที่มูลค่าหุ้นลดลง 17% ในวันเดียว สาเหตุหลักมาจากนักลงทุนกังวลว่า DeepSeek ใช้ชิปของ Nvidia น้อยกว่าบริษัทอเมริกันอื่นๆ แต่ยังสามารถแข่งขันกับ OpenAI ได้อย่างสูสี
นอกจาก Nvidia แล้ว หุ้นของ AMD ลดลงกว่า 6% ขณะที่ Broadcom และ TSMC ตกลงมากกว่า 10% ส่งผลให้มูลค่ารวมของตลาดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ หายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 36 ล้านล้านบาท)
DeepSeek กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม AI โดยมีนักวิเคราะห์มองว่าการแข่งขันนี้อาจนำไปสู่การลดราคาของ AI ในอนาคต และทำให้บริษัทอเมริกันต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งจากจีน
ที่มา: Xinhua, Reuters, The New York Times
