ดี๊ปซีก ( DeepSeek) บริษัทสตาร์ทอัปสัญชาติจีน เจ้าของแอปพลิเคชันแชตบอตชื่อเดียวกัน ได้รับการขนานนามว่าเป็นอาวุธลับของจีนในการทำสงครามปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับสหรัฐอเมริกา
หลังจากบริษัทได้เปิดตัวแบบจำลองหรือโมเดล AI ทรงพลัง 2 รุ่น ซึ่งสร้างขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและอาศัยชิปการประมวลผลน้อยกว่าบริษัทโอเพ่นเอไอ (OpenAI) และบริษัทเมตาแพลตฟอร์มส (Meta Platforms) ของสหรัฐฯ
ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีของจีนต่างออกมาแสดงความยินดี บางคนยกย่องว่า ดี๊ปซีก เป็น “ม้ามืดตัวใหญ่ที่สุด" ในวงการแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่แบบโอเพ่นซอร์ส (Open-Source Large Language Model - LLM)
นายโจว หงอี้ ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอของ Qihoo 360 บริษัทรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตถึงกับกล่าวว่า ดี๊ปซีกได้ "พลิกโลก"
“เราควรมีความมั่นใจว่าในที่สุดจีนจะชนะสงคราม AI กับสหรัฐฯ” เขาระบุในวิดีโอล่าสุดที่โพสต์ในเว่ยปั๋ว
นายเฟิง จี่ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเกมไซแอนซ์ บริษัทผู้พัฒนาเกมวิดิโอสัญชาติจีนและเจ้าของเกมแบล็กมิท : อู้คง (Black Myth: Wukong) โพสต์ข้อความว่า ความสำเร็จด้าน AI ของดี๊ปซีกสามารถเปลี่ยน “โชคชะตาของชาติจีน” ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อกับอเมริกา
เมื่อวันที่ 20 มกราคม ดี๊ปซีกได้เปิดตัวโมเดล AI รุ่น R1 ซึ่งเป็นโมเดลคิดหาเหตุผลก่อนตอบ (reasoning model) แบบโอเพ่นซอร์ส กล่าวคือไม่มีกรรมสิทธิ์ คนทั่วไปสามารถใช้งานหรือต่อยอดได้ ดี๊ปซีกอ้างว่าโมเดลรุ่นนี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าโมเดล o1 ของบริษัทโอเพ่นเอไอ ซึ่งระบุว่า o1 เก่งกว่าโมเดลรุ่นก่อนๆ โดยสามารถหาเหตุผลและแก้ไขปัญหาด้านวิทยาศาสตร์ การเขียนโค้ด และคณิตศาสตร์ที่ยากและซับซ้อนกว่าเดิมได้
R1 ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนแอปพลิเคชันแชตบอต DeepSeek ซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มกราคมในแอปเปิลแอปสโตร์ของสหรัฐฯ ปรากฏว่ามียอดการดาวน์โหลดมากที่สุด ส่วน ChatGPT ของโอเพ่นเอไอตามมาเป็นอันดับที่ 2
นอกจากนั้น ดี๊ปซีกมีการเปิดตัวโมเดล AI รุ่น V3 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งใช้เวลาฝึกฝนประมาณ 2 เดือน มีค่าใช้จ่าย 5,580,000 ดอลลาร์ โดยใช้ชิปประมวลผลน้อยกว่า แต่ในการทดสอบเกณฑ์มาตรฐานพบว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า LLM ของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่
การพัฒนาโมเดลทรงพลังด้วยต้นทุนต่ำของดี๊ปซีกแสดงให้เห็นว่า บริษัท AI ของจีนก้าวหน้าไปมากเพียงใด แม้ว่าจีนได้ถูกสหรัฐฯ ปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงชิปขั้นสูงที่ใช้ในการฝึกฝน AI ก็ตาม
“จีนเป็นตลาดเดียวที่แสวงหาประสิทธิภาพของ LLM เนื่องจากข้อจำกัดด้านชิป” เอดิสัน ลี นักวิเคราะห์หุ้นของเจฟเฟอรี่ กรุ๊ป ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจเขียนในบันทึก
เขาชี้ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะตระหนักได้ดีถึงอันตรายในข้อที่ว่า ยิ่งจำกัดไม่ให้จีนซื้อชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ มากขึ้นเท่าใดก็จะยิ่งเป็นการบีบบังคับให้จีนพัฒนานวัตกรรมเร็วขึ้นเท่านั้น
ข่าวความก้าวหน้าด้านโมเดล AI ของดี๊ปซีก ทำให้หุ้นบริษัท AI และเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น อินวิเดีย ร่วงลงเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเกรงว่าบริษัทจีนพร้อมที่จะแซงหน้าบริษัทสหรัฐฯ ในศึกช่วงชิงความเป็นเจ้าด้าน AI
นายแกรี มาร์คัส ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ระบุในบทความบนแพลตฟอร์ม Substack ว่า การพัฒนาโมเดล AI ของดี๊ปซีก ใช้ต้นทุนการฝึกฝนแค่ราวเศษ 1 ส่วน 50 ของโมเดลรุ่นก่อนๆ เท่านั้น ทำให้ก้าวขึ้นมาเทียบชั้นกับบริษัทอเมริกันอย่างโอเพ่นเอไอ กูเกิล และแอนโทรปิก (Anthropic) ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและนวัตกรรม
“การแข่งขันเพื่อชิงความเป็นเจ้าด้าน AI ได้สิ้นสุดลงแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ในตอนนี้และสหรัฐฯ ก็มิได้ชนะ” เขาระบุ
แต่นายมาร์คัส กล่าวต่อไปว่า นี่มิได้หมายความว่า บริษัทจีนได้ชัยชนะหรือแซงหน้าไปแล้ว เพราะบริษัทอเมริกันจะประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นและพัฒนาผลงานต่อไป
ถึงกระนั้นนายมาร์คัส ก็ได้ให้คะแนนความยากกับจีนที่ทำอะไรได้มากมายโดยที่ไม่ต้องอาศัยชิป H100 ของอินวิเดียหลายแสนตัว ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ขั้นสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในการฝึกฝน AI และสหรัฐฯ ห้ามขายให้จีน
ทั้งนี้ ดี๊ปซีกเป็นบริษัทเล็กๆ ในเมืองหังโจว ก่อตั้งเมื่อปี 2566 โดยนายเหลียง เหวินเฟิง วิศวกรด้านคอมพิวเตอร์ วัย 40 ปี โดยแยกตัวมาจาก ไฮ-ฟลายเออร์ ควอนต์ (High-Flyer Quant) บริษัทกองทุนป้องกันความเสี่ยงของจีน
ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์