หลังจากสหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้กฎหมายแบน ติ๊กต็อก (TikTok) ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากอพยพเข้าสู่แพลตฟอร์มจีน "เสี่ยวหงซู" (Xiaohongshu) ซึ่งเดิมทีเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมของจีนสำหรับการแชร์ไลฟ์สไตล์และรีวิวสินค้า การหลั่งไหลเข้ามาของชาวเน็ตอเมริกันกลับ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสองประเทศแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อไม่มีสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ เป็น "ตัวกลาง" ในการนำเสนอข้อมูลอีกต่อไป ชาวอเมริกันและชาวจีนจึงสามารถพูดคุยกันโดยตรง ในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ "คุณหาเงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร? คุณใช้ชีวิตยังไง?"
ผลลัพธ์ของการ "เปิดบัญชีเทียบกัน" นี้ทำให้ชาวอเมริกันต้องตกตะลึง "ข้อมูลที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับจีนมันผิดไปหมด!"
หลายปีที่ผ่านมา สื่อสหรัฐฯ มักวาดภาพว่าคนอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนจีน และนำเสนอว่า "แม้อเมริกันจะลำบาก แต่ชาวจีนลำบากกว่า!" อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชาวอเมริกันและชาวจีนเริ่มเทียบข้อมูลกันจริงๆ บนเสี่ยวหงซู ฟองสบู่ข้อมูลผิดๆ ก็แตกกระจาย
- รายได้และค่าครองชีพ
ชาวเน็ตสหรัฐฯ หลายคนตกใจเมื่อพบว่า ค่าแรงของชนชั้นกลางในจีนไม่ได้ต่ำอย่างที่พวกเขาคิด และค่าครองชีพก็สมเหตุสมผล ต่างจากในสหรัฐฯ ที่หลายคนต้องเป็น "มนุษย์เงินเดือนชนเดือน" (Living paycheck to paycheck)
- ค่ารักษาพยาบาล
สหรัฐฯ ขึ้นชื่อว่ามี ค่ารักษาพยาบาลแพงที่สุดในโลก และเมื่อเทียบกันแล้ว ชาวเน็ตอเมริกันถึงกับตกใจว่า "นี่จีนมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมขนาดนี้เลยเหรอ?"
- ค่าครองชีพและราคาสินค้า
อเมริกันหลายคนอึ้งเมื่อพบว่า สินค้าหลายอย่างในจีนถูกกว่าสหรัฐฯ มาก เช่น อาหาร น้ำมัน ค่าเดินทาง และค่าอินเทอร์เน็ต
- การศึกษา
ค่าเล่าเรียนในจีนทำให้ชาวอเมริกัน "ช็อก" มากที่สุด เพราะค่าเทอมมหาวิทยาลัยในจีนถูกกว่าของสหรัฐฯ หลายเท่า ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของหนี้สินระดับชาติ
กระแสการเปรียบเทียบชีวิตระหว่างสองประเทศบนเสี่ยวหงซู ทำให้ชาวเน็ตสหรัฐฯ หลายคนเริ่มมองเห็น "จุดอ่อน" ของอเมริกา และ "จุดแข็ง" ของจีน
ทวีตหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากใน X (Twitter) กล่าวว่า "ขำหนักมาก! คนอเมริกันนับหมื่นหนี TikTok มาใช้ เสี่ยวหงซูเพื่อต่อต้านรัฐบาล แต่สุดท้ายพวกเขากลับพบว่าคนอเมริกันกับคนจีนมีชีวิตที่คล้ายกันกว่าที่คิด และข้อมูลที่พวกเขาเคยเชื่อเกี่ยวกับจีนก็พังลงหมด!"
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันได้รับข้อมูลเกี่ยวกับจีนจากชาวจีนโดยตรง ไม่ใช่ผ่านการกรองของสื่อกระแสหลักหรือการบิดเบือนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
สื่อเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐฯ "InsideEVs" รายงานว่า แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะพยายามใช้ข้ออ้างด้าน "ความมั่นคง" เพื่อจำกัดแอปจีน แต่ชาวอเมริกันกลับเต็มใจที่จะใช้มันมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ คนอเมริกันจำนวนมากคิดว่า "จีนเป็นประเทศเผด็จการที่กดขี่เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต" แต่เมื่อพวกเขาได้ลองใช้เสี่ยวหงซู พวกเขากลับพบว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนแพลตฟอร์มจีนไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
แม้ว่าอนาคตของ TikTok ในสหรัฐฯ จะยังไม่แน่นอน และไม่รู้ว่ากระแสของเสี่ยวหงซูในอเมริกาจะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ชาวอเมริกันเริ่มมีโอกาสรับรู้ความจริงเกี่ยวกับจีนมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
ที่มา: 大众日报 (Dazhong Daily)