แม้รัฐบาลจีนยังคงส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่งและเปิดรับธุรกิจต่างชาติ แต่บริษัทตะวันตกหลายแห่งกลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน (Council for the Promotion of International Trade) อ้างว่า 90% ของบริษัทต่างชาติให้คะแนนประสบการณ์ในจีนว่า “พึงพอใจ” หรือดีกว่า อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจล่าสุดของหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ชี้ว่ามีผู้ประกอบการน้อยกว่าครึ่งที่มองอนาคตธุรกิจในจีนในอีก 5 ปีข้างหน้าในแง่ดี นับเป็นตัวเลขต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ตัวอย่างเชิงลบล่าสุดคือ General Motors (GM) ที่ประกาศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมว่าจะปรับลดมูลค่าการลงทุนในจีนและปิดโรงงานบางแห่ง พร้อมทั้งเปิดเผยว่าผลประกอบการในจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จีนยังเริ่มสอบสวน Nvidia ผู้นำด้านชิป AI ของสหรัฐฯ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการตอบโต้ข้อจำกัดด้านการค้าของอเมริกา
เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญปัญหารอบด้าน ตั้งแต่การลดลงของยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยตกต่ำ ผู้บริโภคจึงลดการใช้จ่าย แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินแบบ “ผ่อนคลายปานกลาง” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี แต่ความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงต่ำ
ปัญหาเงินฝืดและการแข่งขันด้านราคาทำให้ธุรกิจจำนวนมากประสบปัญหา ณ สิ้นเดือนตุลาคม มีบริษัทอุตสาหกรรมจีนถึง 27% ที่รายงานว่าขาดทุน สงครามราคาในอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และวัสดุก่อสร้าง ทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคาสินค้าลงอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติที่ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่
ธุรกิจตะวันตกยังต้องเผชิญกับคู่แข่งท้องถิ่นที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ Starbucks ซึ่งเคยเป็นผู้นำตลาดกาแฟในจีน สูญเสียส่วนแบ่งให้ Luckin Coffee ซึ่งมีร้านมากถึง 21,000 แห่งทั่วประเทศในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 13,000 แห่งในปีก่อน โดย Luckin Coffee ใช้กลยุทธ์ราคาถูกกว่าพร้อมเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง
ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Apple ต้องเจอกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Huawei อย่าง Mate 70 ที่ได้รับความนิยมในจีน ในขณะเดียวกัน BYD และ NIO บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน สามารถผลิตรถยนต์ราคาถูกแต่มีเทคโนโลยีทันสมัยตอบโจทย์ผู้บริโภคท้องถิ่นได้มากกว่า
นอกจากนี้ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจีนยังใช้ความได้เปรียบในการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีและราคาที่ต่ำกว่า กดดันให้บริษัทต่างชาติไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้เหมือนที่ผ่านมา
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับชาติตะวันตกสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้บริษัทต่างชาติ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม สหรัฐฯ ได้ประกาศข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการขายเทคโนโลยีชิปให้บริษัทจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ในอเมริกาและยุโรป เช่น Applied Materials และ ASML
การตอบโต้จากจีนเกิดขึ้นทันที เช่น การสอบสวน Nvidia หรือการใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีสินค้าต่างๆ ตัวอย่างคือในเดือนตุลาคม จีนประกาศเก็บภาษีสุราแบรนด์จากยุโรป เช่น Rémy Cointreau และ Pernod Ricard ซึ่งเชื่อว่าเป็นการตอบโต้การเรียกเก็บภาษีของยุโรปกับรถยนต์ไฟฟ้าจีน
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคซินเจียงก็เจอแรงกดดัน Uniqlo ถูกโจมตีในจีนหลังออกมาปฏิเสธการใช้ฝ้ายจากซินเจียง ขณะที่บริษัทผู้ผลิตแบรนด์แฟชั่นในสหรัฐฯ เช่น Tommy Hilfiger และ Calvin Klein อาจถูกจำกัดกิจการในจีนเพราะปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ ที่ห้ามใช้ฝ้ายจากภูมิภาคดังกล่าว
ปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ การแข่งขัน และความตึงเครียดทางการเมืองกำลังกดดันธุรกิจต่างชาติให้ต้องปรับตัวหรือถอนตัวจากจีน ความฝันในการขยายธุรกิจในตลาดจีนที่เคยสดใสในอดีต กลายเป็นความท้าทายที่หนักหนาในปัจจุบัน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญเมื่อพิจารณาการลงทุนในตลาดที่เคยเป็นโอกาสทองเช่นนี้
ที่มา กลุ่มสื่อต่างประเทศ
แฟ้มภาพเอเอฟพี