หยางเหมาเยว่ (羊毛月) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในจีน ผู้มีผู้ติดตามกว่า 8.77 ล้านคน ต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากโพสต์วิดีโอที่มีเนื้อหาวิจารณ์การหางานของนักศึกษาจบใหม่ในจีน วิดีโอนี้ที่ตั้งใจสะท้อนปัญหา กลับสร้างความไม่พอใจแก่ผู้ชมจำนวนมาก โดยมองว่าเป็นการดูถูกและไม่คำนึงถึงความลำบากที่พวกเขากำลังเผชิญ
วิดีโอที่เป็นปัญหานี้มีเนื้อหาที่ตั้งใจสะท้อนปัญหาของนักศึกษาจบใหม่ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหางาน แต่การใช้คำพูดและการนำเสนอที่ดูเหมือนจะมองข้ามความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมาย กลับทำให้ผู้ชมจำนวนมากรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นและเสียดแทงจิตใจในช่วงที่พวกเขากำลังเผชิญกับความกดดันสูงจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ซบเซา วิดีโอนี้จึงกลายเป็นชนวนของกระแสวิพากษ์วิจารณ์
ภายในเวลาเพียง 2 วันหลังโพสต์วิดีโอนี้ จำนวนผู้ติดตามของหยางลดลงถึง 790,000 คน จาก 8.77 ล้านคน เหลือเพียง 7.98 ล้านคน และตัวเลขยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเหตุการณ์ที่จุดกระแสวิจารณ์ถึงบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ในสังคมจีนอย่างกว้างขวาง
ในคืนวันที่ 23 พฤศจิกายน หยางเหมาเยว่โพสต์วิดีโอขอโทษ พร้อมภาพปกที่มีคำว่า “ขอโทษ” ตัวใหญ่เป็นจุดเด่นในวิดีโอ เขาปรากฏตัวในชุดสีดำ สีหน้าจริงจัง พร้อมก้มศีรษะขอโทษต่อหน้ากล้อง และชี้แจงว่าต้องการสะท้อนปัญหาที่นักศึกษาจบใหม่เผชิญ แต่การนำเสนอที่ไม่เหมาะสมกลับทำให้หลายคนเข้าใจผิด เขายังสัญญาว่าจะระมัดระวังคำพูดและการแสดงออกมากขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม คำขอโทษดังกล่าวไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานจำนวนมาก ความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยข้อความเชิงลบ
ขณะที่กระแสวิจารณ์เกี่ยวกับวิดีโอเริ่มซาลง หยางเหมาเยว่กลับเจอปัญหาใหม่ เมื่อผู้ใช้งานโซเชียลตั้งคำถามถึงประวัติการศึกษาที่เขาเคยระบุในโปรไฟล์ว่าเป็นบัณฑิตจาก Beijing University Archaeology and Museology ศิษย์เก่าและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยปักกิ่งหลายคนออกมาตั้งข้อสงสัยว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ในที่สุด หยางลบข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยปักกิ่งออกจากโปรไฟล์ พร้อมชี้แจงว่าเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก Communication University of China และเข้าเรียนในระดับปริญญาโทที่ Beijing University New Media Institute โดยไม่เคยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่หลายคนเข้าใจ
ถึงแม้เขาจะชี้แจงว่าไม่ได้ใช้สถานะศิษย์เก่าปักกิ่งเพื่อการตลาดหรือการสร้างรายได้ แต่คำอธิบายนี้ไม่ได้ช่วยลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ในจีนอีกครั้ง
ที่มา : กลุ่มสื่อจีน