เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้เข้าร่วมพิธีเปิดโครงการคลองฟูนันเทโช (Funan Techo Canal) ดอกไม้ไฟและลูกโป่งถูกปล่อยขึ้นฟ้าเพื่อเฉลิมฉลอง โครงการนี้ถูกคาดหวังว่าจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อหน้าประชาชนจำนวนมากที่โบกธงชาติกัมพูชาว่า จีนจะสนับสนุนเงินทุน 49% ในโครงการขุดคลองสายนี้ ซึ่งจะเชื่อมแม่น้ำโขงกับอ่าวไทย ช่วยลดการพึ่งพาการขนส่งสินค้าผ่านเวียดนาม
รัฐบาลกัมพูชาประเมินว่าโครงการนี้จะใช้เงินกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 4% ของ GDP ทั้งปีของประเทศ แต่จนถึงตอนนี้ เงินทุนจากจีนยังไม่มีความชัดเจน
แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับโครงการเล่าว่า จีนยังลังเลที่จะให้การสนับสนุน เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับต้นทุน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
กระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในแถลงการณ์ว่า บริษัทจีนมีส่วนช่วยกัมพูชาในการสำรวจและพัฒนาโครงการน้ำตามหลักการตลาด แต่ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงเรื่องเงินทุน
เมื่อวันศุกร์ กระทรวงโยธาธิการของกัมพูชาแถลงว่า รายงานเกี่ยวกับปัญหาในโครงการนี้ "ไม่เป็นความจริง" พร้อมระบุว่าคณะทำงานยังเดินหน้าร่วมมือกับองค์กรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินทุนจากจีน
หากจีนไม่สนับสนุนตามที่คาดไว้ โครงการนี้อาจประสบปัญหา เนื่องจากต้นทุนที่สูงและความไม่แน่นอนหลายด้าน นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังลดการลงทุนในต่างประเทศ แม้ในประเทศพันธมิตรสำคัญอย่างกัมพูชา
คลองสายนี้มีความยาว 180 กิโลเมตร ตั้งใจขยายเส้นทางน้ำเดิมและดึงน้ำจากพื้นที่ปลูกข้าวสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงไปยังอ่าวไทย ลดการพึ่งพาท่าเรือในเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงกรอบการลงทุนที่ลงนามกับบริษัท China Road and Bridge Corporation (CRBC) เมื่อปีที่แล้ว ยังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียดการลงทุน
หลังพิธีเปิดในเดือนสิงหาคม มีรายงานว่าสถานที่ก่อสร้างยังคงถูกปล่อยร้าง
การลงทุนของจีนในกัมพูชาลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น โครงการสนามบินพนมเปญใหม่ที่จีนเคยสัญญาจะลงทุน 1.1 พันล้านดอลลาร์ แต่ต้องถอนตัว รวมถึงทางด่วนที่เชื่อมพนมเปญกับสีหนุวิลล์ ที่มีการใช้งานน้อยเพราะค่าผ่านทางสูง
นักลงทุนจีนส่วนใหญ่ในกัมพูชาตอนนี้เน้นภาคเอกชน ขณะที่การลงทุนภาครัฐลดลง เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวจากจีนที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่หลังโควิด
อนาคตของโครงการคลองฟูนันเทโชยังไม่แน่นอน เนื่องจากเงินทุนยังไม่ลงตัว และนักลงทุนยังคงลังเลที่จะลงมือจริง
ที่มา สำนักข่าวรอยเตอร์/ภาพ เอเอฟพี