อินฟลูเอนเซอร์ชาวอินเดียผู้มีชื่อเสียงใน YouTube เจอกระแสตีกลับจากชาวเน็ตจีนอย่างรุนแรง หลังเผยแพร่วิดีโอชื่อ "FIRST DAY IN BEIJING: My Worst Nightmare?" (วันแรกในปักกิ่ง: ฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดของฉัน) ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ประสบการณ์การเดินทางในกรุงปักกิ่ง
ในวิดีโอ อินฟลูเอนเซอร์ได้แสดงความผิดหวังที่คนส่วนใหญ่ในปักกิ่งไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ พร้อมตั้งคำถามว่า "ทำไมเมืองที่พัฒนาแล้วเช่นนี้ถึงมีคนพูดภาษาอังกฤษน้อย?" เขายังเปรียบเทียบว่ากรุงนิวเดลีของอินเดีย "มีความเป็นสากลมากกว่า"
นอกจากนี้ เขายังบ่นเรื่องการใช้งานซิมการ์ดอินเดียในจีนไม่ได้ เนื่องจากจีนบล็อกแอปพลิเคชันบางตัว เช่น แอปแผนที่และแอปเรียกรถ ทำให้เขารู้สึกเหมือนติดอยู่ในประเทศที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากวิดีโอเผยแพร่ ชาวเน็ตจีนพากันทัวร์ลงในช่องคอมเมนต์และโซเชียลมีเดีย โดยหลายคนระบุว่า การเดินทางไปประเทศอื่นควรเรียนรู้และเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมวิจารณ์ว่า "จีนไม่ใช่อาณานิคมอังกฤษ อย่าคาดหวังว่าทุกคนจะพูดภาษาอังกฤษได้" และเสริมว่า "แม้คนจีนบางคนพูดภาษาอังกฤษได้ ก็อาจไม่เข้าใจสำเนียงอินเดียที่หนักเกินไป"
นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังเปรียบเทียบปักกิ่งกับนิวเดลี โดยชื่นชมความเงียบสงบและความเป็นระเบียบของปักกิ่ง แต่กลับกล่าวหาว่าปักกิ่งขาดความเป็นสากลในด้านบริการนักท่องเที่ยว เช่น การใช้ภาษาอังกฤษและการจัดการที่เหมาะสมกับชาวต่างชาติ
เหตุการณ์นี้สะท้อนความแตกต่างด้านภาษาและวัฒนธรรมระหว่างอินเดียและจีน โดยภาษาอังกฤษมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของคนอินเดียเนื่องจากอิทธิพลจากยุคอาณานิคมอังกฤษ ในขณะที่จีนยังคงใช้ภาษาจีนเป็นภาษาหลัก แม้จะมีการส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียน
ชาวเน็ตจีนบางคนชี้ให้เห็นว่า อินฟลูเอนเซอร์รายนี้มองจีนผ่านมุมมองที่อิงวัฒนธรรมของตนเองมากเกินไป โดยไม่พยายามปรับตัวหรือเข้าใจว่าจีนมีระบบภาษาและวัฒนธรรมของตัวเอง
เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดการถกเถียงถึงความสำคัญของการเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่นในระหว่างการเดินทาง รวมถึงโอกาสในการพัฒนาบริการของจีนให้รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น เช่น การเพิ่มป้ายบอกทางหลายภาษา หรือการสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้ง่ายขึ้นสำหรับชาวต่างชาติ
ขณะที่อินฟลูเอนเซอร์อาจตั้งใจเพียงแบ่งปันประสบการณ์ของเขา แต่ดูเหมือนว่าวิดีโอดังกล่าวกลับกลายเป็นประเด็นร้อนที่สะท้อนความแตกต่างทางวัฒนธรรมและมุมมองระหว่างจีนและอินเดียอย่างชัดเจน
ที่มา กลุ่มสื่อจีน/ภาพจากคลิป