ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ข้อมูลจากหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ระบุชัดเจนว่า แม้รัสเซียจะก่อให้เกิดปัญหาในยุโรป แต่จีนคือประเทศที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นคู่แข่งระดับโลกในระยะยาว โดยจีนกำลังเร่งพัฒนาศักยภาพทางทหารที่สำคัญ ซึ่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) มองว่าจำเป็นต่อการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ในกรณีเกิดความขัดแย้งขนาดใหญ่
แม้ PLA ยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับการทำสงครามกับสหรัฐฯ แต่จีนตั้งเป้าหมายที่จะ "พัฒนาทางทหารสู่ความทันสมัย" ภายในปี พ.ศ.2578 และมุ่งหมายให้กองทัพมีศักยภาพเทียบเท่าระดับโลกภายในปี พ.ศ.2592 อย่างไรก็ตาม กองทัพจีนได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจากที่เคยเป็นกองทัพขนาดเล็กที่อุปกรณ์ไม่พร้อม มาสู่การเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคเอเชียในปัจจุบัน โดยปัจจุบันนี้ กองทัพจีนมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือบางส่วนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ แล้ว
กองทัพเรือปลดแอกประชาชนจีน (PLAN) ไม่เพียงแต่เป็นกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังเป็นกองทัพเรือที่ทันสมัยด้วย จากข้อมูลของสถาบัน CSIS พบว่าเรือรบของจีนราว 70% ถูกสร้างหลังปี พ.ศ.2553 ซึ่งมากกว่าสหรัฐฯ ที่มีเพียง 25% เท่านั้น และในแง่การออกแบบและวัสดุ หลายลำมีคุณภาพเทียบเท่าเรือรบสหรัฐฯ อีกด้วย
แม้ว่าเรือรบสหรัฐฯ จะมีขนาดใหญ่และติดตั้งอาวุธมากกว่า แต่จีนก็กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว หนึ่งในมาตรวัดสำคัญด้านศักยภาพทางเรือคือจำนวน "เซลล์ปล่อยแนวดิ่ง" (VLS) ซึ่งเป็นเครื่องยิงขีปนาวุธขั้นสูงที่จีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยในปี พ.ศ.2547 เรือรบสหรัฐฯ มี VLS เฉลี่ย 222 เซลล์ต่อเรือรบจีนหนึ่งลำ แต่ปัจจุบันสัดส่วนนี้ใกล้เคียงกัน และคาดว่าเรือจีนจะมีศักยภาพแซงหน้าสหรัฐฯ ในเร็ววัน
จีนยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบขับเคลื่อนไฮบริดในเรือดำน้ำชั้น Zhou ซึ่งสหรัฐฯ ยังไม่มีเทียบเท่า รวมถึงเรือบุกยกพลขึ้นบก Type 076 ซึ่งจะเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสามารถปล่อยโดรนด้วยระบบเครื่องยิง
กองทัพอากาศปลดแอกประชาชนจีน (PLAAF) ก็กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าบางส่วนยังตามหลังสหรัฐฯ ในด้านความทันสมัย แต่เครื่องบินรบล่าสุดของจีนถือว่าเทียบเคียงคุณภาพของเครื่องบินรบประเทศใน NATO ได้ รวมถึงการผลิตเครื่องบินรบล่องหนของจีนที่รวดเร็วกว่าในสหรัฐฯ
จีนมีความก้าวหน้าด้านขีปนาวุธที่ล้ำหน้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านระยะทาง ความเร็ว และความสามารถในการต่อต้านการก่อกวนทางสัญญาณ ขีปนาวุธทางอากาศและต่อต้านเรือของจีนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้จีนเป็นผู้นำในหลายด้านที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้ลงทุน
หนึ่งในความก้าวหน้าที่น่ากลัวที่สุดคือขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกของจีน ซึ่งมีความเร็วสูงกว่าเสียงถึง 5 เท่า โดยขีปนาวุธชนิดนี้ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับระบบป้องกันภัยใหม่ทั้งหมด ในปีนี้ เจฟฟรีย์ แมคคอร์มิค จากศูนย์ข่าวกรองอากาศและอวกาศของสหรัฐฯ ได้รายงานต่อรัฐสภาว่าจีนมีคลังแสงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่เป็นผู้นำโลก ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาขีปนาวุธที่รวดเร็วและแม่นยำกว่า แต่จีนได้ติดตั้งระบบอาวุธไฮเปอร์โซนิกหลายระบบแล้ว
การประเมินที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำในเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากการทดสอบมักจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามการวิจัยด้านเทคโนโลยีที่สำคัญโดย Australian Strategic Policy Institute พบว่าในปี พ.ศ.2567 จีนเป็นผู้นำใน 6 จาก 7 สาขาสำคัญด้านเทคโนโลยีทางทหาร ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์เครื่องบินขั้นสูง โดรน หุ่นยนต์อัตโนมัติ และระบบปล่อยจรวด ขณะที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำในด้านเดียวคือดาวเทียมขนาดเล็ก
แม้ว่าการจัดอันดับนี้จะถูกวิพากษ์ว่าอาจไม่ครอบคลุมงานวิจัยลับของทั้งสองฝ่าย แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า ศักยภาพทางทหารไม่ใช่เพียงผลรวมของเทคโนโลยีและอาวุธแต่ละชิ้น การโจมตีของรัสเซียในยูเครนเมื่อปี พ.ศ.2565 แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่จับต้องไม่ได้ เช่น การวางแผนที่ไม่ดี ส่งผลต่อความล้มเหลวของกองทัพ แม้ว่ารัสเซียจะถูกมองว่ามีศักยภาพทางทหารที่แข็งแกร่ง
กองทัพปลดแอกประชาชนจีนยังมีปัญหาภายในที่ต้องเผชิญ เช่น ปัญหาคอร์รัปชัน ระบบโลจิสติกส์ที่ยังไม่เพียงพอ และการขาดประสบการณ์ในการทำสงครามจริง เนื่องจากไม่ได้ทำสงครามมาหลายทศวรรษ การรวมกำลังระหว่างกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศยังคงเป็นปัญหาที่ต้องปรับปรุงเช่นกัน
แม้ว่าจีนจะใช้จ่ายด้านกองทัพน้อยกว่าสหรัฐฯ (ต่ำกว่า 2% ของ GDP เทียบกับสหรัฐฯ ที่ใช้จ่ายมากกว่า 3%) แต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนทำให้เกิดความกังวลในสหรัฐฯ โดยแฟรงก์ เคนดอล เลขาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในการแข่งขันเพื่อความเหนือชั้นทางเทคโนโลยีทางทหาร และเราไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว”
ที่มา กลุ่มสื่อต่างประเทศ/ภาพ เอเอฟพี