“ณ ทะเลลึกแดนเหนือ มีพญามัจฉาชื่อ ‘คุน’ ร่างใหญ่โตไม่รู้กี่พันลี้ คุนกลายร่างเป็นพญานกชื่อ ‘เผิง’ แผ่นหลังของเผิงมโหฬารไม่รู้กี่พันลี้ ยามกระพือสะบัดปีกเหินสู่เวหา ปีกแผ่กว้างราวแผ่นเมฆปกคลุมฟ้า เมื่อผืนน้ำแห่งท้องสมุทรเริ่มขยับไหว พญาเผิงก็บ่ายหน้ามุ่งสู่ทะเลสาบสวรรค์แห่งแดนใต้
ในคัมภีร์ฉีเสียบันทึกเรื่องราวประหลาดนี้ว่า ขณะพญาเผิงสยายปีกมุ่งสู่ทะเลลึกแดนใต้ ท้องทะเลก็ปั่นป่วนคลุ้มคลั่งไกลถึงสามพันลี้ ปีกอันมโหฬารของพญานกตีลมเป็นพายุหมุน และบินสูงขึ้นไปถึงเก้าหมื่นลี้ ถลาร่อนไปกับลมพายุเดือนหก กระแสลมร้อนพัดเป่าฝุ่นตลบฟุ้ง สรรพสิ่งสั่นไหวกระทบเสียดสีกัน ผืนฟ้าสีครามเข้มนั้น เป็นสีที่แท้จริงของมันละหรือ? หรือเกิดจากระยะทางไกลโพ้นไร้ที่สิ้นสุด เมื่อพญาปักษามองลงสู่เบื้องล่าง ก็แลเห็นเพียงสีฟ้าใสเฉกเช่นกัน”
พญามัจฉา “คุน” กลายร่างเป็น พญานก “เผิง” เป็นนิทานสาธกเรื่องแรกในบทแรกที่มีชื่อบท คือ "อิสรจร" ของ หนังสือจวงจื่อ บท "อิสรจร" นี้แสดงปรัชญาแนวคิดเพื่อชีวิตที่มีความสุขในภาวะอิสรเสรีโดยการหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆอันได้แก่กิเลสทั้งปวงที่บดบังทำลายธรรมชาติเดิมแท้อันบริสุทธิ์ตามธรรมชาติของมนุษย์
เรื่องราวประหลาดนี้ แฝงสัญลักษณ์ใดไว้...
พญามัจฉาคุนร่างมหึมาแหวกว่ายในน้ำลึก อาจเปรียบได้กับคนทั่วไปในโลกมนุษย์ ผู้ถูกพันธนาการให้จมลึกอยู่ในวังวนของวิถีโลกย์อันเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา รักโลภ โกรธ หลง เป็นต้น
เมื่อ “คุน” กลายร่างเป็นพญานก สยายปีกเหินเวหา ปีกกว้างราวแผ่นเมฆปกคลุมฟ้า โบยบินไปอย่างอิสรเสรี
“การบินสูงของพญานก” อาจแฝงสัญลักษณ์ของการออกจากโลกมนุษย์ หลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆของวิถีโลกย์ และสามารถมองจากเบื้องสูงลงมาเห็นสรรพสิ่งในมุมกว้าง
“มุมมองของคนแห่งโลกย์” กับ “มุมมองของคนแห่งฟ้า” ที่ปลดแอกจากพันธนาการต่างๆของวิถีโลกย์ ย่อมแตกต่างกันมาก...
“หนังสือจวงจื่อ” เป็นคัมภีร์ปรัชญาของ “จวงจื่อ” ปราชญ์จีนผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคโบราณกว่าสองพันปีที่แล้ว จวงจื่อเป็นปราชญ์รุ่นหลังท่านเหลาจื่อแห่งเต้าเต๋อจิง (เต๋าเต็กเก็ง) ท่านได้ต่อยอดแนวคิดเต๋าของท่าเหลาจื่อจนถึงขีดขั้นสมบูรณ์
ที่ได้ยกเรื่องราวของพญามัจฉา “คุน” กลายเป็น พญานก “เผิง” สัญจรไปอย่างอิสรเสรีมาเล่าแนะนำ เนื่องด้วยแก่นหลักของสารัตถะในหนังสือจวงจื่อ อาจประมวลได้ถ้อยคำเพียงหนึ่ง นั่นคือ “อิสรภาพ”
ย่อหน้าหนึ่งของบทความคำนิยม “จวงจื่อ หนังสืออันสูงส่ง” เขียนโดย โชติช่วง นาดอน (ทองแถม นาถจำนง) ระบุไว้ว่า “ภาวะอิสรเสรีเป็นมนุษย์ที่แท้ ไม่ถูกพันธนาการด้วยกรอบของสังคมปุถุชน ก็คือภาวะหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เมื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงที่ปุถุชนมักหลงยึดติด ชีวิตเราจึงจะมีเสรีภาพอย่างแท้จริง”
จากยุคสมัยที่เต็มไปด้วยวิกฤตรุ่มร้อนที่สุดด้วยไฟสงครามเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วถึงยุคปัจจุบันที่กำลังรุ่มร้อนที่สุดด้วยไฟสงครามเช่นกัน “จวงจื่อ” นับเป็นเพื่อนสนทนาที่ดี ผู้กระตุกความคิดให้เข้าใจถึงความสุขที่แท้ของมนุษย์ ปลดเปลื้องพันธนาการโลกโลกย์ และโบยบินไปในวิถีอิสรจรเยี่ยงพญานกเผิง และพำนักอย่างเบาใจในท่ามกลางโลกมนุษย์อันวุ่นวาย
ความโดดเด่นในการสอนปรัชญาชีวิตของคัมภีร์เต๋าของจวงจื่อ คือการกระตุกความคิดด้วยนิทานสาธก เรื่องเล่าสั้นๆ บทสนทนา ที่ล้วนเฉียบคม ลึกซึ้ง เสียดแทง ทั้งสนุกเพราะจวงจื่อใช้อารมณ์ขันเป็นแก่นหลักในลีลาการเขียน ดูเหมือนท่านจะรู้ซึ้งว่าการได้หัวเราะดังๆสักครั้งย่อมมีค่ายิ่งกว่าถ้อยคำก่นด่านับสิบหน้า
..มาถอดรหัสนิทานสาธกในหนังสือจวงจื่อ เพื่อชีวิตที่มีเสรีภาพและประสบความสุขอย่างแท้จริง
*ผู้อ่านสามารถเรียนรู้แนวคิดเต๋าของจวงจื่อในทุกกลเม็ดเด็ดพรายจากหนังสือ “จวงจื่อ ฉบับสมบูรณ์” ฉบับพากย์ภาษาไทย ในช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติระหว่างที่10 -20 ตุลาคม2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
หนังสือจวงจื่อมีวางจำหน่ายที่บูทสำนักพิมพ์เคล็ดไทยในราคาส่วนลด
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อหนังสือ: จวงจื่อ ฉบับสมบูรณ์ (ฉบับปกอ่อน)
ผู้แปล: สุรัติ ปรีชาธรรม
บรรณาธิการ พจนา จันทรสันติ
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ openbooks
พิมพ์ครั้งที่สาม พฤษภาคม 2567
ราคาปก 795 บาท
จำนวนหน้า 703 หน้า