เศรษฐกิจจีนยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยราคาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ลดลงอย่างรวดเร็วในรอบ 9 ปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว การเติบโตของการส่งออกและการลงทุนลดลง ขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลจีนกำลังเผชิญแรงกดดันที่จะต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อนำพาเศรษฐกิจกลับมาเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ที่ประมาณ 5%
หนึ่งในมาตรการที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือการแจกคูปองเงินสดเพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เคยถูกนำมาใช้ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ที่ผ่านมาจีนยังไม่ได้ใช้มาตรการนี้
สื่อของรัฐจีนรายงานว่ารัฐบาลควรพิจารณาการสนับสนุนเงินโดยตรงให้ผู้บริโภคมูลค่าอย่างน้อย 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 4.8 ล้านล้านบาท) ผ่านการแจกคูปองหรือเงินสด โดยมองว่ามาตรการดังกล่าวอาจช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศได้
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนยังคงแสดงความสงสัยว่าปักกิ่งจะเลือกใช้มาตรการนี้หรือไม่ เนื่องจากในอดีตรัฐบาลจีนมักให้การสนับสนุนภาคธุรกิจมากกว่าการช่วยเหลือผู้บริโภคโดยตรง อีกทั้งยังมีความกังวลว่าการแจกคูปองเงินสดจะมีผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นที่ประสบปัญหากลับมาฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง
คาร์ลอส คาซาโนวา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสระบุว่า “เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ จึงจำเป็นต้องมีการแทรกแซงนโยบายโดยเร็ว” โดยเขาเสริมว่ารัฐบาลอาจต้องขยายการขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 3% เพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงว่าปักกิ่งอาจตัดสินใจนำโควตาการออกพันธบัตรของปีหน้ามาใช้ก่อนหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวในช่วงฤดูร้อน การดำเนินการในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปีที่แล้ว โดยรัฐบาลจีนได้ขยายการขาดดุลงบประมาณ และนำโควตาการออกหนี้บางส่วนของปีถัดไปมาใช้ล่วงหน้าเพื่อลงทุนในโครงการป้องกันน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ปีนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้เงินเพิ่มเติม เนื่องจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมเริ่มให้ผลลัพธ์น้อยลงหลังจากที่ลงทุนในสะพาน ถนน และทางรถไฟมานานหลายทศวรรษ ในขณะที่การสนับสนุนภาคการผลิตขั้นสูงซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปัจจุบันก็สร้างความตึงเครียดทางการค้าและความกังวลเกี่ยวกับภาวะการผลิตล้นเกิน
นักวิเคราะห์ระบุว่า เศรษฐกิจจีนไม่สามารถพึ่งพาภาคการผลิตและการส่งออกเพียงอย่างเดียวได้ หากต้องการบรรลุเป้าหมายการเติบโต 5% ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องเพิ่มการสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ
ที่มา กลุ่มสื่อต่างประเทศ/ภาพเอเอฟพี