เมื่อไม่นานมานี้ Temu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือ พินตัวตัว (PINDUODUO) จากจีน ได้เปิดตัวเว็บไซต์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมโปรโมชันส่งฟรีและคืนสินค้าฟรีภายใน 3 เดือน รวมถึงส่วนลดสูงสุดถึง 90% นับเป็นการเปิดตัวเว็บไซต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งที่ 3 หลังจากฟิลิปปินส์และมาเลเซีย
การขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Temu ครั้งนี้ เป็นที่จับตามองอย่างมาก เนื่องจากมีข่าวลือเกี่ยวกับการเข้าสู่ตลาดไทยของ Temu มาตั้งแต่ปีที่แล้ว การเปิดตัวครั้งนี้จึงเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการ แม้ว่าการขยายตัวในภูมิภาคนี้ของ Temu จะค่อนข้างช้ากว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งยังคงเป็นคำถามว่า Temu จะสามารถสร้างผลกระทบในตลาดอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หรือไม่
ประเทศไทยเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่อันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากรายงาน e-Conomy SEA ปี 2023 พบว่ามูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 220 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.48 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นรองจากอินโดนีเซียที่มีมูลค่า 620 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 21.08 ล้านล้านบาท) คาดว่าภายในปี 2025 มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นถึง 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10.20 ล้านล้านบาท)
การใช้งานอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้อีคอมเมิร์ซประมาณ 61.8% หรือมากกว่า 43 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรายได้ระดับไหนก็ตาม มากกว่าครึ่งของประชากรไทยเคยใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซหรือซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ตลาดไทยของ Temu ยังคงมีความท้าทาย โดยมีกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าอีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2024 ทำให้สินค้านำเข้าราคาถูกต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ขายอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างมาก
สำหรับ Temu ที่เน้นขายสินค้าราคาถูก การบังคับใช้กฎหมายนี้จะทำให้เกิดความท้าทายในการรักษาราคาที่แข่งขันได้และยังคงมีกำไร ซึ่งส่งผลให้ Temu และผู้ขายบนแพลตฟอร์มต้องคำนึงถึงเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มในการกำหนดราคาสินค้า
ในตลาดอื่นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Temu ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ในเวียดนาม คณะกรรมการงบประมาณได้เสนอให้มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หากข้อเสนอนี้ผ่านไปได้ สินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 39 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,320 บาท) อาจต้องเสียภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในอินโดนีเซียก็มีการเก็บภาษีศุลกากรสูงสำหรับสินค้านำเข้าตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าข้ามพรมแดน ในเดือนมิถุนายน 2024 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของอินโดนีเซียได้ประกาศว่าจะเก็บภาษีสูงถึง 100-200% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน เช่น รองเท้า และเซรามิก
การที่ Temu เข้ามาในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงเวลานี้อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ Temu ยังไม่มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
จากมุมมองของผู้บริโภค Temu ไม่ได้มีราคาถูกมากนัก นอกจาก นี้ผู้บริโภคในสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามยังสามารถใช้แพลตฟอร์ม Pinduoduo ของจีนและใช้บริการจัดส่งร่วมกันซึ่งมีราคาสินค้าและสินค้าที่หลากหลายมากกว่า Temu
จากมุมมองของผู้ขาย Temu ยังมีปัญหาชื่อเสียงที่ไม่ดีในวงการ ซึ่งผู้ขายหลายคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ต้องการเป็นผู้ขายบน Temu เนื่องจากรู้สึกว่าถูกบีบให้ขายสินค้าราคาต่ำ
จากมุมมองของการแข่งขัน Temu ยังต้องแข่งขันกับ Shopee และ Lazada ที่ครองตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานาน รวมถึง TikTok Shop ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ Temu ยังไม่ได้รับการยอมรับในตลาดและมีการศึกษาตลาดน้อยกว่า
ท่ามกลางความท้าทายทั้งภายในและภายนอก จึงเป็นคำถามว่า Temu จะสามารถฟันฝ่าความยากลำบากและสร้างตำแหน่งในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หรือไม่
ที่มา กลุ่มสื่อจีน