พรรคก้าวไกลถูกครหาว่ามีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับจีน สนับสนุนตะวันตก และจะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ทว่านักการเมืองในพรรคก้าวไกลที่ได้ไปสัมผัสกับประเทศจีนคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
กระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เชิญผู้แทนพรรคการเมืองรุ่นใหม่เดินทางเยือนประเทศจีน เมื่อวันที่ 7-14 พ.ค. ในการเดินทางครั้งนี้ ส.ส. จากพรรคก้าวไกลได้รับเชิญมากที่สุดถึง 3 คน คือ ส.ส.ณรงเดช อุฬารกุล ส.ส.ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ และ ส.ส.ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ
พรรคอนาคตใหม่และสืบเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกลถูกวิจารณ์ว่ามีท่าทีไม่เป็นมิตรกับจีน เนื่องจากหลายกรณี ทั้งการแฉเรื่อง “ทุนจีนสีเทา” ความใกล้ชิดของแกนนำพรรคกับกลุ่มเรียกร้องเอกราชฮ่องกง คำพูดของสมาชิกพรรคเรื่องของไต้หวัน รวมถึงการมีส่วนร่วมในการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนในประเทศไทยเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ปรากฏสัญลักษณ์และข้อความที่หมิ่นเหม่ต่อนโยบาย “จีนเดียว” เรื่องเหล่านี้ทำให้พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหาว่า “ต้านจีน-โปรตะวันตก”
ส.ส.ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ เป็นมือทำงานด้านจีนของพรรคก้าวไกล และเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่มีความเข้าใจประเทศจีนมากที่สุด เพราะว่าเคยใช้ชีวิตในประเทศจีนนานถึง 8 ปี เรียนหนังสือที่จีนตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาตรี เขาตอบคำถามเรื่องจุดยืนของของพรรคก้าวไกลต่อจีนว่าดังนี้
“เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า กลุ่มคนที่มาประกอบธุรกิจที่อาจจะเรียกว่าทุนสีเทา หรือทุนสีดำ ก็มีทั้งประเทศจีนและหลายๆ ประเทศ ใครก็ตามที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส หรือว่าไม่ตรงไปตรงมา เราต้องออกมาชี้แจงให้สังคมได้รับทราบ ผมมองว่าสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อประเทศจีน เพราะว่าสิ่งที่เราพยายามจะทำคือ แก้ไขภาพลักษณ์ ซึ่งผมมีข้อเสนอไปทางรัฐบาลจีนว่า หากเรามาร่วมมือช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เรียกกันว่าทุนจีนสีเทาแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อทุนสีขาว สำหรับนักลงทุนของประเทศจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย”
ตัวแทนจากพรรคก้าวไกลบอกว่า ประเทศของไทยใช้นโยบายการต่างประเทศที่ยึดถือความเป็นกลางมาโดยตลอด ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ได้คัดค้านนโยบายนี้ แต่ว่าบนพื้นฐานของความเป็นกลาง พรรคก้าวไกลเรียกร้องให้ประเทศไทยมีจุดยืนว่า ความเป็นกลางนั้นอยู่บนพื้นฐานของอะไรบ้าง
ส.ส.ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ กล่าวว่า “การที่จะบอกว่าเราไม่เป็นมิตรกับจีนก็ต้องดูบริบทด้วยว่าหมายถึงอะไร เราไม่ได้ปิดกั้นการลงทุนจากจีน ถ้าการจะพยายามตรวจจับ “จีนเทา” ที่หลบหนีจากจีนเข้ามาในไทย แล้วก่ออาชญากรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชน คำถามคือว่า การที่เราไม่เห็นด้วยกับ “จีนเทา” เท่ากับเราต่อต้าน “ประเทศจีน” ด้วยหรือ? ผมว่าไม่ใช่อย่างนั้น เพราะจีนเทาเหล่านี้ ถ้าหากกลับไปประเทศจีนเขาเองต้องถูกลงโทษรุนแรงเหมือนกัน”
ตัวแทนพรรคก้าวไกลมีทั้งคนที่เรียนจบการจีน เดินทางมาประเทศจีนเป็นประจำอย่าง ส.ส.ปารเมศ และคนที่เดินทางมาประเทศจีนเป็นครั้งแรก และมีพื้นฐานการศึกษาจากชาติตะวันตกอย่าง ส.ส.ชุติพงศ์ และ ส.ส.ณรงเดช การมาเยือนประเทศจีนทำให้ตัวแทนของพรรคก้าวไกลได้เห็นจีนในมุมใหม่ และเห็นว่าจีน-ไทยสามารถมีความร่วมมือกันได้ในหลายเรื่อง
ส.ส.ณรงเดช อุฬารกุล ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่าสินค้าเกษตรของไทยส่งออกมาประเทศจีนเยอะมาก และสินค้าเกษตรของจีนที่ส่งไปไทยก็มีมาก และมีมาตรฐานสูงกว่าที่ขายในจีน เพราะทางการไทยตรวจสอบตามมาตรฐาน
ขณะที่มีข่าวใหญ่ว่า “ทุเรียนไทยพ่ายแพ้ทุเรียนเวียดนามในตลาดจีน” ยิ่งทำให้รัฐบาลไทยและจีนจำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ให้ทุเรียน ที่มีมูลค่าการส่งออกไปจีนมากกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งพัฒนากระบวนการการผลิต และต้องหาทางสนับสนุนให้ล้งไทยสามารถออกไปแข่งขันในต่างประเทศได้
ส.ส.ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ พูดถึงการบริหารราชการของจีน ที่ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศว่า “ผมได้เรียนรู้ว่าประเทศที่ภาคการเมืองกับภาคราชการเป็นเนื้อเดียวกันในระดับหนึ่ง การที่เขาพยายามจะสร้างอะไรบางอย่างด้วยกลไกรัฐเป็นสิ่งที่เขาทำได้ ประเทศไทยถ้าเราจะสร้างถนน สร้างระบบโครงสร้างไฟฟ้า หรือระบบคมนาคม เราต้องอาศัยการลงทุนที่มาจากเอกชน โดยที่ภาครัฐควบคุมได้แค่บางส่วน แต่ในประเทศจีน ถ้าเขาจะสร้างเมืองสักเมืองหนึ่งให้ตอบโจทย์ทางอุดมคติ อย่างเมืองซูโจวที่เราได้ไปเยือน ภาพร่างแนวทางการสร้างเมืองเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กับภาพถ่ายในมุมเดียวกันในปัจจุบัน เขาสร้างได้ใกล้เคียงกันมากๆ นี่คือสิ่งที่ประเทศจีนทำให้ผมรู้สึกว่า เมืองสามารถถูกสร้างขึ้นมาได้ โดยกลไกการร่วมมือระหว่างราชการและอำนาจนำโดยภาคการเมือง ถ้าจีนจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง เขาทำได้”
ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทำให้จีนตระหนักถึงการผงาดของพรรคก้าวไกล และยอมรับว่าพรรคก้าวไกลจะมีบทบาทสูงยิ่งในการเมืองไทยนับจากนี้ ฝ่ายจีนจึงกระตือรือร้นที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล โดยใช้ยุทธศาสตร์ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” และตัวแทนของพรรคก้าวไกลก็เป็นพรรคการเมืองที่เดินทางมาจีนบ่อยมาก
ในการแข่งขันทางการเมือง โดยเฉพาะในยามที่สังคมแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน พรรคการเมืองที่ยึดมั่นในจุดยืนที่ไม่เปลี่ยนแปลงจะได้รับการสนับสนุนมากกว่า ซึ่งพรรคก้าวไกลรู้ดี และใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้จนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นไม่ได้เลยที่ประเทศไทยจะมีนโยบายที่ “ต่อต้าน” หรือ “สนับสนุน” ชาติมหาอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทางพรรคก้าวไกลที่เผชิญกับวาทกรรมเรื่อง “ต้านจีน” ก็ต้องตระหนักเช่นกันว่า วาทกรรมดังกล่าวมีทั้งที่ถูกปั่นกระแสเพื่อการเลือกตั้ง และมีที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของคนใน-แนวร่วมของพรรคเอง และเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องพิสูจน์ตัวเอง
ชื่อของพรรคก้าวไกลในภาษาจีน คือ “เฉียนจิ้นตั่ง” 前进党 ซึ่งเป็นคำสำคัญในช่วงของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศจีน และมีอยู่ในเนื้อร้องของเพลงชาติจีนด้วย
หลู่ซิ่น นักเขียนและนักปฏิวัติคนสำคัญของจีน เคยกล่าวว่า “หลายเรื่องนั้นไม่ใช่ว่าจะสักแต่เอาใจกลุ่มนักวิจารณ์หัวก้าวหน้า มิเช่นนั้นก็เป็นแค่หลับหูหลับตากล่าวโอ้อวดเท่านั้น”.
鲁迅《花边文学·水性》:“许多事是不能为了讨前进的批评家喜欢,一味闭了眼睛作豪语的。”