ผู้แทนพรรคการเมืองรุ่นใหม่ของไทยเดินทางเยือนประเทศจีน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นหลายเรื่องทั้งการเมืองไทย นโยบายของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงเรื่องต่างประเทศที่ทั้ง 2 ฝ่ายสนใจ
กระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เชิญผู้แทนพรรคการเมืองรุ่นใหม่เดินทางเยือนประเทศจีน เมื่อวันที่ 7-14 พ.ค. นักการเมืองหนุ่มสาวของไทยได้พบกับตัวแทนระดับสูงของฝ่ายจีน เช่น นางซุนไห่เอี้ยน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน อธิบดีกรมที่ 1 ซึ่งดูแลงานด้านประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ซึ่งรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะ
ฝ่ายจีนและผู้แทนพรรคการเมืองของไทยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทั้งในการเยือนสถานที่ต่างๆ เช่น โรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์ ประจำเมืองซูโจว การพบกับผู้นำของเมือง การบรรยายเรื่อง “การพัฒนาสู่ความทันสมัยของประเทศจีน” รวมถึงการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการบนโต๊ะอาหาร และระหว่างการเดินทาง ประเด็นที่ฝ่ายจีนสนใจ ได้แก่
เรื่องของประเทศไทย
รัฐบาลเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย : ฝ่ายจีนรับรู้ว่าผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 พรรคเพื่อไทยไม่ได้ชนะเลือกตั้งเป็นที่ 1 แต่ว่าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็เพราะรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองข้ามขั้ว และการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะทหาร
รัฐบาลผสมในลักษณะนี้ทำให้ฝ่ายจีนมีความกังวลเรื่องของเสถียรภาพ จึงได้ถามความคิดเห็นกับคณะผู้แทนของฝ่ายไทยว่า “ความท้าทายของรัฐบาลเศรษฐาคืออะไร?” ซึ่งผู้แทนของไทยให้ความเห็นว่า คือ การจัดการบริหารจัดการภายในพรรคเพื่อไทยเอง เห็นได้จากการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดในระยะเวลาแค่ไม่ถึง 10 เดือน เป็นการปรับเปลี่ยนในส่วนของพรรคเพื่อไทยเกือบทั้งหมด โดยพรรคร่วมรัฐบาลแทบจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
นายหลิวเจี้ยนเชา รมต.กระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เมื่อเดือนมีนาคม และได้พบกับนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 2 เดือน นายปานปรีย์ก็ประกาศลาออกหลังทราบถึงการปรับ ครม. เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายจีนแปลกใจอย่างมาก
การผงาดของพรรคก้าวไกล : พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียง และมี ส.ส. เป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง แต่ว่าไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ถึงแม้ว่าจะทำให้ฝ่ายจีน “โล่งอก” พอสมควร เพราะว่าจีนคุ้นเคยกับพรรคเพื่อไทยมากกว่า และพรรคก้าวไกลก็ถูกจับตาว่ามีนโยบายที่สนับสนุนตะวันตก ไม่เป็นมิตรกับจีน แต่จีนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคก้าวไกลจะมีบทบาทสูงยิ่งในการเมืองไทยนับจากนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝ่ายจีนจะกระตือรือร้นที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล และในการเดินทางครั้งนี้ ส.ส. จากพรรคก้าวไกลได้รับเชิญมากที่สุดถึง 3 คน ขณะที่พรรคเพื่อไทยปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางมาด้วย
ยุทธศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน คือ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” และพยายามทำให้คนที่มีทัศนะตรงข้ามกลายเป็นคนที่มีทัศนะกลาง และขยับเข้าสู่ทัศนะเชิงบวกในที่สุด นี่คือ ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “ถ่งจ้าน” 统战 หรือ “สร้างแนวร่วม” ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดตั้งองค์กรที่ดูแลด้านนี้โดยตรง
ฝ่ายจีนตระหนักว่า การเมืองไทยได้เปลี่ยนผ่านจาก “การแบ่งสี” มาเป็นการแบ่งขั้วระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยม-ฝ่ายก้าวหน้า
และคำกล่าวของพรรคก้าวไกลที่ว่า “เวลาอยู่ข้างเรา” นั้นเป็นเรื่องจริง ! และในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าหากพรรคก้าวไกล (หรือพรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นเมื่อพรรคก้าวไกลถูกยุบ) ชนะเลือกตั้งได้ ส.ส. เกินกว่าครึ่งหนึ่งของสภา และสามารถเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ด้วยเสียง ส.ส. พรรคเดียว การเมืองไทยจะเป็นอย่างไร?
กัญชาเสรี-กาสิโนถูกกฎหมาย : สถานทูตจีนประจำประเทศไทยเคยประกาศเตือนนักท่องเที่ยวจีนที่มาประเทศไทย ให้ระวังเครื่องดื่ม อาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา นี่แสดงถึงความกังวลของจีน เพราะว่ากัญชาเป็นสิ่งเสพติดที่ผิดกฎหมายในประเทศจีน และปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพร้านขายกัญชาที่เปิดกันอย่างแพร่หลายตามท้องถนนในเมืองไทยถูกถ่ายทอดผ่านคลิปวิดีโอของบรรดานักท่องเที่ยวจีน และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์ของจีน
การเปิดกาสิโนถูกกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายจีนสอบถามมาก เพราะถึงแม้จีนจะมีมาเก๊า ที่เป็นแหล่งการพนันเลื่องชื่อ แต่ภายในจีนแผ่นดินใหญ่ การพนันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และมีข้อจำกัดให้ชาวจีนเดินทางไปมาเก๊าได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี
จีนกังวลว่าหากไทยมีสถานกาสิโน นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาเล่นพนันที่ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังจะเกี่ยวพันกับเรื่องอาชญากรรม การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และขบวนการหลอกลวง เหมือนที่เกิดขึ้นในกัมพูชา ลาว และพม่า
เรื่องกัญชาและกาสิโนสะท้อนทัศนคติของจีน ที่ไม่คุ้นเคยกับการเปลี่ยนสิ่งผิดกฎหมายให้กลายเป็นถูกกฎหมาย ถึงแม้ฝ่ายไทยจะให้เหตุผลว่าเป็นการ “ทำพื้นที่สีเทาให้ถูกควบคุมโดยกฎหมาย” แต่ก็ยากจะที่เปลี่ยนทัศนะที่อนุรักษนิยมของจีนได้
ทุนจีนสีเทา : สถานทูตจีน ประจำประเทศไทย เคยออกแถลงการณ์หลายครั้งว่า ต้องแยกแยะระหว่างทุนจีนที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โดย “ทุนจีนสีเทา” เป็นส่วนน้อยมาก และเรียกร้องไม่ให้ใช้วาทกรรมนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ผู้แทนของจีนย้ำว่า ธุรกิจจีนจะต้องเคารพกฎหมายของประเทศที่ไปทำธุรกิจ จีนจะให้ความร่วมมือกับทางการไทยในการจัดการกับธุรกิจที่ทำผิดกฎหมาย และจีนสนับสนุนการส่งออกเทคโนโลยีใหม่-ผู้เชี่ยวชาญมาที่ไทย ไม่ใช่ส่งแรงงานไร้ฝีมือ หรือทุนสีเทา
การลงทุนของจีนในไทย : เจ้าหน้าที่ของจีนสอบถามถึงรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่กำลังขายดีในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีผู้บริโภคที่ยังไม่มั่นใจในเทคโนโลยีของจีน
นางซุนไห่เอี้ยน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวกับคณะผู้แทนของไทยว่า จีนจะพัฒนาเทคโนโลยีหลักที่เป็นของตัวเอง เพื่อให้หลุดพ้นจากการปิดล้อมของชาติมหาอำนาจ และจีนยินดีที่จะแบ่งปันเทคโนโลยีของตนให้ประเทศต่างๆ และเปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่มาทำการวิจัยร่วมกัน
เรื่องระหว่างประเทศ
นายหลิวเจี้ยนเชา รมต.กระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เคยกล่าวในช่วงที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยว่า “ภูมิภาคนี้พัฒนาขึ้นได้ก็เพราะว่ามีสันติภาพและเสถียรภาพ นอกจากสงครามเวียดนามและสงครามเกาหลี ที่เป็นสงครามตัวแทนหลังสงครามเย็นแล้ว ภูมิภาคนี้ไม่เคยมีการเผชิญหน้าอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนสามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจ เราไม่อยากให้คนอื่นมาทำลายความสงบสุขของภูมิภาคนี้”
นี่คือคำกล่าวที่แสดงถึง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งฝ่ายจีนกังวล ไม่ว่าจะเป็นสงครามยูเครน-รัสเซีย การยุยงให้ฟิลิปปินส์ปั่นป่วนทะเลจีนใต้ รวมถึงความขัดแย้งในพม่า
ตัวแทนของพรรคการเมืองไทยได้สอบถามกับฝ่ายจีนถึงการเป็นตัวกลางในการคลี่คลายความขัดแย้งที่สำคัญในพื้นที่ต่างๆ ของโลก
นางซุนไห่เอี้ยน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตอบว่า ชาติมหาอำนาจได้กดดันให้ประเทศต่างๆ ต้องเลือกข้าง และอ้างว่าจีนสนับสนุนรัสเซีย สนับสนุนคณะทหารของพม่า ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว จีนรักษาความสัมพันธ์กับทุกฝ่ายมาตลอด จีนหวังที่จะเป็นตัวกลางแห่งสันติภาพ แต่ลำพังแค่จีนไม่มีพลังมากพอ จึงต้องขอการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคด้วย
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ : ฝ่ายจีนจับการการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้อย่างมาก เพราะว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะได้กลับมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้ง สิ่งที่จีนกังวลคือ นายทรัมป์เป็นคนที่ “คาดเดาไม่ได้” ทำให้ประเทศต่างๆ ยากที่จะวางยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ แต่สิ่งที่ได้พิสูจน์แล้วคือ ถึงแม้ทรัมป์จะเป็นคนที่เปิดฉากสงครามการค้ากับจีน แต่ในยุคของนายโจ ไบเดน มาตรการปิดล้อมจีนก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง ทั้ง 2 พรรคการเมืองของสหรัฐฯ มีจุดยืนร่วมกันว่า จีนคือภัยคุกคาม
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้จีนต้องตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพึ่งพาตัวเอง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะทำให้จีน “ฝ่าวงล้อม” การกีดกันของชาติมหาอำนาจได้ และสร้างสิ่งที่เรียกว่า “กำลังการผลิตคุณภาพใหม่” 新质生产力 ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่ฝ่ายจีนได้กล่าวกับคณะผู้แทนของไทยหลายครั้งในการเดินทางเยือนประเทศจีนครั้งนี้.