โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ในบทความนี้ผู้เขียนขอเล่าถึงประเด็นสังคมยุคใหม่ ที่ผู้เขียนเชื่อว่าปัญหาลักษณะนี้ไม่ได้เกิดแค่ในจีนเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชียเราที่ให้ความสำคัญกับการสนิทชิดเชื้อกับญาติพี่น้องเป็นอย่างมากตลอดมา
ในสังคมยุคใหม่ที่การพัฒนาด้านต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้จังหวะการใช้ชีวิตของผู้คนต้องปรับและเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย จากกระแสชีวิตยุคใหม่ทำให้คนเรามีหลายสิ่งหลายอย่างให้วิ่งตามให้ทันด้วย สังคมที่ครอบครัวเล็กลงไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะกับญาติพี่น้องไม่ได้สนิทชิดเชื้อเหมือนกับคนในยุคก่อนอีกต่อไป
ในจีนมีประเด็นร้อนหนึ่งในโซเชียลมีเดียจั่วหัวข้อว่า “断裂亲情” อ่านว่า ต้วนเลี่ยชินฉิง แปลตรงตัวคือ “ความสัมพันธ์ที่แตกสลาย” กำลังเป็นที่สนใจของสังคมจีน เพราะความสัมพันธ์ที่แตกสลายกำลังรุกคืบเข้ามาในสถาบันครอบครัวจีนอย่างหนัก มีการประเมินกันว่าปัจจุบันมีครอบครัวจีนกว่า 400 ล้านครอบครัวทั่วประเทศกำลังประสบปัญหานี้ และหากว่าเป็นแบบนี้ต่อไปอีก 30 ปี คนจีนทุกคนคงไม่มีใครมีญาติเลย
มีการเคยสำรวจบนโซเชียลจีนแห่งหนึ่ง ระบุว่า จากตัวอย่างสำรวจ 80% ของผู้คนรู้สึกว่ากำลังห่างเหินกับญาติตัวเองเรื่อยๆ อีก 60% บอกว่าตนถูกครอบครัวตำหนิว่าเฉยชากับญาติๆ แล้วอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ที่แตกสลายนี้?
ประการแรกเพราะชีวิตยุคใหม่ที่เร่งรีบ ความกดดันในชีวิตและการทำงาน การติดต่อระหว่างผู้คนทำได้เพียงการโทร.สั้นๆ และการสื่อสารทางข้อความเท่านั้น ขาดการสื่อสารแบบเห็นหน้ากันอย่างจริงใจ ทำให้ความสัมพันธ์กับญาติๆ ห่างเหิน
ประการต่อมาคือเทคโนโลยีนำความสะดวกสบายมาสู่ผู้คน ทำให้ระยะห่างระหว่างผู้คนมากขึ้น คนรุ่นใหม่ติดสังคมออนไลน์และไม่ค่อยไปเยี่ยมญาติพี่น้อง ผู้สูงอายุไม่สามารถปรับตัวเข้ากับอุปกรณ์สื่อสารที่ทันสมัยได้เกิดช่องว่างระหว่างรุ่นคือการสื่อสารระหว่างผู้สูงอายุกับบุตรหลานน้อยลง
ประการสุดท้ายคือความเป็นปัจเจกนิยมที่มากขึ้น การแสวงหาอิสระเสรีคือกระแสนิยมหลักในชีวิตคนรุ่นใหม่ ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมักถูกละเลย
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ คนจีนรุ่นใหม่จำนวนมากมองว่าการกลับบ้านไปรวมญาติช่วงปีใหม่เป็นภาระและมีข้อจำกัด สร้างความอึดอัดหลายอย่าง ทำให้คนจีนรุ่นใหม่บางคนเลือกที่จะตัดญาติ คือไม่ติดต่อไม่ไปเจอ ไปถึงการปิดกั้นญาติบนโซเชียลมีเดีย ช่วงวันหยุดยาวก็ไม่อยากกลับไปรวมญาติกับพ่อแม่ ทำให้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่รุ่นก่อนๆ ดูแลกันไว้อย่างดีกำลังจะถูกเมินเฉย กลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 2000-1995 ปัจจุบันเป็นคนกลุ่มนี้อายุ 20 กว่าปี ถึง 30 ต้นๆ กำลังอยู่ในวัยทำงานสร้างตัว คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะตัดขาดจากญาติมากที่สุด คนกลุ่มนี้กล้าที่จะปฏิเสธการไปพบปะญาติมากที่สุด คือเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบไม่ชอบการถูกผูกมัด
ปลายปีที่แล้วบนเวยปั๋ว มีหัวข้อกระทู้ที่ว่า ตอนนี้คนรุ่นใหม่ถึงเริ่มแสดงออกถึงการตัดขาดจากญาติอย่างชัดเจน กลายเป็นกระทู้ยอดนิยมที่มีคนเข้ามาให้ความเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่าสังคมสมัยก่อนต้องการการรวมกลุ่มปรองดอง โดยเฉพาะญาติพี่น้องต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันกิจการต่างๆ ถึงจะบรรลุเป้าหมายได้ แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่ได้มีแนวคิดแบบนั้น ส่วนใหญ่คิดว่าญาติมากมายไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรกับชีวิตมากนัก จึงค่อยๆ ห่างหาย การพบญาติของคนทุกวันนี้นอกจากงานแต่งงานที่สำคัญ งานอื่นๆ ก็ไม่ค่อยจะได้ไปเจอกับญาติ ถึงขนาดคนจีนรุ่นใหม่บางคนยังไม่กลับบ้านไปช่วงตรุษจีน แต่เลือกไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการรวมญาติเป็นความอึดอัดใจมากกว่า เช่นว่า จะถูกซักโน่นถามนี่ ถูกล้วงลึกเรื่องส่วนตัว เช่น เรื่องงานและเงินเดือน มีแฟนหรือไม่มี หากว่ายังไม่มีแฟนจะถูกเร่งไปให้หาคู่ ส่วนที่แต่งงานแล้วยังไม่มีลูกถูกเร่งให้มีลูก ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับญาติคนอื่นๆ และอวดความร่ำรวยกันไปมา เป็นต้น
ในปี 2022 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหนานจิง รศ.หวู่ เสี่ยวหวู่ ได้ตีพิมพ์บทความหัวข้อ “คนรุ่นใหม่ตัดญาติ เพราะอะไรแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร?” พบว่าการที่คนรุ่นใหม่ห่างเหินกับญาติกลายเป็น “ปกติใหม่” ในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวตรงกับช่วงตรุษจีน ทีมวิจัยของ รศ.หวู่ เสี่ยวหวู่ ได้ทำการสำรวจโดยสัมภาษณ์คนรุ่นใหม่จำนวน 1,200 คน โดยกลุ่มอายุที่น้อยกว่า 18 ปีส่วนใหญ่ตอบว่าปกติไม่ได้ติดต่อกับญาติ กลุ่มอายุ 18-30 ปีส่วนใหญ่ตอบว่ามีการติดต่อกับญาติบ้าง แต่จะติดต่อด้วยกรณีที่มีธุระเท่านั้น ซึ่งมีความย้อนแย้งกับแนวคิดของกลุ่มผู้สูงอายุที่มองว่าการไม่ติดต่อญาติ ไม่ไปมาหาสู่กันเลยเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะจะถูกให้เข้าใจได้ว่าในครอบครัวมีปัญหากัน หรือฝ่ายที่ตัดขาดอาจจะถูกมองว่าไม่มีมารยาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนรุ่นใหม่ การไม่ติดต่อญาติไม่ใช่เรื่องใหญ่ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนส่งผลกระทบต่อความนึกคิดของผู้คน ทุกวันนี้มีวิธีการสื่อสารหลากหลายรูปแบบคือสามารถสื่อสารกันออนไลน์ได้ ไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้ากัน ดังนั้นผู้สูงอายุจีนมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ส่วนคนรุ่นใหม่ก็มีสไตล์ของตัวเองเช่นกัน
จูหนาน ผู้เกิดหลังปี 2000 ปัจจุบันเป็นพนักงานบริษัทไอทีขนาดใหญ่ของจีน แชร์แนวคิดของตัวเองกับญาติไว้ว่า “ทุกครั้งที่ไปร่วมงานรวมญาติเหมือนกับถูกลอกหนังไปชั้นหนึ่ง” เธอได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ครอบครัวของเธอพ่อแม่หย่าร้างกัน และเธออาศัยอยู่กับแม่ แม่ของเธอเป็นพี่สาวคนโตของที่บ้านเพราะฉะนั้นจะเหมือนเป็นหัวหอกในการกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นตัวตั้งตัวตีจัดงานรวมญาติในเทศกาลต่างๆ เธอมีลุงป้าน้าอา และมีลูกพี่ลูกน้องที่อายุใกล้เคียงกัน ทุกครั้งที่มีการรวมญาติจะมีปาร์ตี้ดื่มกินกันสนุกสนาน ญาติผู้ใหญ่จะให้คำแนะนำเรื่องการทำงานการใช้ชีวิตกับลูกหลาน ซึ่งเธอมองว่าเป็นการก้าวก่ายการใช้ชีวิตของเธอมากเกินไป อีกทั้งลูกพี่ลูกน้องของเธอที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ยังมีพฤติกรรมแอบเอาสิ่งที่เธอแชร์บนโซเชียลไปวิจารณ์เสียๆ หายๆ เพราะอิจฉาที่เธอได้ไปเรียนจบที่ต่างประเทศ มีงานการทำที่ดีกว่า เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้สุดท้ายเธอตัดสินใจถอนตัวจากกลุ่มแชตญาติและพยายามหลีกเลี่ยงไปเจอญาติ
ยังมีอีกหลายตัวอย่าง หลากหลายเหตุผลที่ทำให้คนจีนรุ่นใหม่หมางเมินกับญาติพี่น้อง ผู้เขียนมองว่าปรากฏการณ์สังคมแบบนี้กำลังเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ไทยเราเองก็เป็นเช่นนั้น ความเกื้อกูลกันในสังคมถึงหน่วยครอบครัวมีน้อยลง หลายครอบครัวมีความสัมพันธ์ภายในที่ท็อกซิก (Toxic) คือไม่สร้างสรรค์ ทำร้ายกันมากกว่า
ปัจจุบันเรื่องของคนจีนรุ่นใหม่มีแนวโน้มไม่คบญาติพี่น้อง รัฐบาลจีนยังไม่ยกระดับเป็นปัญหาระดับชาติ แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะยกขึ้นมาเป็นปัญหาระดับชาติก็ได้ เพราะครอบครัวคือฐานของสังคม และการรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับความสุขส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมั่นคงและการพัฒนาของสังคม และประเทศชาติโดยรวมด้วย