โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
FIRE (Financial Independence Retire Early) หรือแนวคิดการเป็นอิสระทางการเงินให้เร็วที่สุดและจะเกษียณตัวเองให้เร็วที่สุดไม่ต้องรอถึงอายุ 60 ปี แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ฮิตในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานทั่วโลก ในจีนเองถึงแม้ว่าการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศค่อนข้างจำกัดแต่เริ่มมีกลุ่มคนที่นิยมแนวคิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2023 นี้ประเด็น “เก็บเงิน” เป็นประเด็นที่กล่าวถึงกันในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก โดยกล่าวกันว่ากลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ที่ยึดถือแนวทางปฏิบัติแบบ FIRE มีหลายแสนคนทั่วประเทศ
3 ปีที่จีนปิดประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 คนจำนวนมากเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและแนวความคิด กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่เลือกที่จะ “เก็บเงินเพื่อให้ตัวเองได้เกษียณเร็วๆ มากกว่าที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย” ดังนั้นประเด็น “อิสรภาพทางการเงิน” กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงกันมากเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น ในเซี่ยงไฮ้มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอายุไม่ถึง 40 ปีทั้งคู่ หลังจากเก็บเงินได้จากการทำงานครบ 15 ล้านบาทแล้ว ทั้งคู่ตัดสินใจลาออกจากงาน และใช้เงินดำรงชีวิตจากดอกผลจากการลงทุนเดือนละประมาณ 50,000 บาท เรื่องราวดังกล่าวได้รับความสนใจจากกลุ่มคนวัยทำงาน และกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียจีนอย่างรวดเร็วอยู่พักหนึ่ง
แนวคิด FIRE ซึ่งปรากฏครั้งแรกในหนังสือชื่อ Your Money or Your Life ในปี 1992 เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้พูดถึงความสมดุลระหว่างการทํางานและชีวิต จนถึงตอนนี้แนวคิด FIRE ได้พัฒนาจนมีผู้ติดตามจํานวนมากและหลายคนได้ปฏิบัติตามแนวคิดนี้จนเก็บเงินลงทุนจํานวนหนึ่งได้ตามเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายเกษียณอายุก่อนกําหนด
ในจีนแนวคิดของ FIRE ยังดึงดูดคนหนุ่มสาวจีน เพราะแนวคิดนี้ค่อนข้างสอดคล้องกับคำที่ใช้ในโลกอินเทอร์เน็ตที่แสดงถึงเทรนด์ หรือทัศนคติต่อชีวิตของวัยหนุ่มสาวจีน คือ 躺平 อ่านว่า ถ่างผิง แปลตามหน้าศัพท์ คือ “นอนราบ” หมายถึงการอยู่แบบชิลชิลไม่ดิ้นรนขวนขวาย และ 摆烂 อ่านว่า ป่ายล่าน แปลตามหน้าศัพท์ คือ “ปล่อยให้เน่า” หมายถึง ทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรดีกว่า หรือปล่อยไปตามยถกรรม (ให้มันเน่าไปเลย!)
ในเว็บไซต์ โต่วป่าน (Douban) (คล้ายๆ กับเว็บพันทิพของไทย) สมาชิกของกลุ่ม FIRE ต่างๆ รวมกันมีหลายแสนคน คนเหล่านี้บางคนเป็นซีอีโอของบริษัท บางคนเป็นเพียงพนักงานคนงานธรรมดา ทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกันคือ เก็บเงินให้พอที่จะอยู่ได้ด้วยดอกเบี้ย หรือดอกผลจากการลงทุน และเกษียณอายุก่อนกำหนด รูปแบบของ FIRE แบ่งได้ 4 ประเภทดังนี้
-‘FIRE ไขมัน’ รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ทุกคนปรารถนามากที่สุด กล่าวคือมีรายได้จากการลงทุนทางการเงินเพียงพอที่จะครอบคลุมค่าครองชีพของตนเองและแม้กระทั่งมีเงินเหลือใช้ ถึงแม้จะไม่ทํางานก็สามารถรักษามาตรฐานการครองชีพที่ดีได้ คู่สามีภรรยาเซี่ยงไฮ้ที่กล่าวไปข้างต้นมีเงินฝาก 15 ล้านบาท มีบ้านไม่มีหนี้ จัดว่าเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มนี้
-‘FIRE ผอม’ สามารถเข้าใจได้ว่า FIRE แบบคนจน แม้ว่ารายได้จะไม่สูงมากและไม่มีเงินฝาก 6 หรือ 7 หลัก แต่มีการใช้ชีวิตแบบมินิมอลและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็นทั้งหมด คนกลุ่มนี้แม้ว่าเงินฝากจะไม่มาก แต่สามารถบรรลุ FIRE ได้ มีคนจีนบางกลุ่มเป็น FIRE ประเภทนี้ คือเก็บเงินได้ส่วนหนึ่งหลักล้านบาท และซื้อบ้านอยู่ในเมืองเล็กๆ ค่าครองชีพรายเดือนของตัวเองลดลงให้ได้มากที่สุด
-‘FIRE บาริสต้า’ ถือได้ว่าเป็นกลุ่ม FIRE ที่ "กลางๆ" คนเหล่านี้ลาออกจากงานแบบดั้งเดิม ที่เข้างาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น แต่ยังคงทํางานและดํารงชีวิตด้วยรายได้พาร์ทไทม์และรายได้แบบ passive income (ไม่ต้องไปลงแรงทำงานยังได้เงิน) งานที่พวกเขาเลือกงานที่รายได้อาจไม่สูงเท่าเดิม แต่จะค่อนข้างเบาและมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น อาชีพประเภทนี้ เช่น บาริสต้า นักจัดดอกไม้ นักเขียนออนไลน์ อาชีพอิสระอื่นๆ
-‘FIRE ชายฝั่ง’ กลุ่มนี้คล้ายๆ กับกลุ่มบาริสต้า คือหลังลาออกและเกษียณอายุก็ยังมีงานทำ แต่ความแตกต่างคือคนที่เลือก ชายฝั่ง FIRE รายได้แบบ passive income (ไม่ต้องไปลงแรงทำงานยังได้เงิน) สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่าย การทํางานเพียงเพราะความรักในงานเท่านั้น ไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องทำเพื่อเงิน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีเงินเพียงพอกับการใช้จ่ายโดยไม่ต้องไปทำงานแลกเงิน ทำให้คนกลุ่มนี้บางคนเลือกที่จะอุทิศตนเพื่อสวัสดิการสาธารณะ บางคนเลือกที่จะลองเริ่มต้นธุรกิจ สํารวจความเป็นไปได้ของชีวิตในแบบใหม่ๆ
วันนี้จีนพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทุกด้าน ทำให้ประชาชนรุ่นหลังๆ มีความเครียดและต้องทํางานหนัก แรงกดดันจากการทํางานมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จีนเป็นที่ที่มีการทํางานล่วงเวลามากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก แนว “การทํางานแบบ 996” คือ เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 3 ทุ่ม ในหนึ่งอาทิตย์ทำงาน 6 วัน เป็นบรรทัดฐานของการทำงานในภาคอุตสาหกรรมในจีนหลายประเภทจนหยั่งรากลึก ต่อมาคือต้นทุนการใช้ชีวิตตอนนี้สูงกว่าแต่ก่อนมาก คนหนุ่มสาวกว่าจะซื้อบ้านของตัวเองได้เลือดตาแทบกระเด็น การแต่งงาน การศึกษาบุตร ล้วนต้องการเงินสํารองจํานวนมาก อีกทั้งสังคมออนไลน์ทำให้เราสามารถเห็นว่าคนรวยใช้ชีวิตอย่างไรและทำให้มีความคาดหวังว่าเราจะสามารถข้ามช่องว่างไปสู่การเป็นคนรวยได้ ความปรารถนาในชีวิตที่ดีในทางวัตถุ ทำให้ต้องทำงานหนักนำมาสู่ความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ กลายเป็นวงจรอุบาทว์
สำหรับคนที่เกิดในช่วง 1980-1995 กำลังอยู่ในวัยทำงานและสร้างครอบครัว กลับมีความคิดที่จะใฝ่หาความสุขให้ตัวเอง และไม่ชอบความกดดัน ทำให้คนกลุ่มนี้อาจจะแต่งงานแต่ไม่มีบุตรหรืออาจจะไม่ยอมแต่งงานไปเลย (จนทำให้อัตราการเกิดของจีนลดลงต่อเนื่อง)
คนหนุ่มสาวจีนจํานวนมากที่สนับสนุนแนวคิด FIRE เพราะต้องการแสวงหาความปรารถนาในชีวิตของตัวเองก่อนที่จะแก่ คือมีเวลาให้ได้ใช้ชีวิตตามปรารถนายาวหน่อยไม่ต้องไปรอหลังเกษียณอายุ แต่ในสังคมจีนมีสิ่งย้อนแย้งที่น่าสนใจคือ กลุ่มผู้สูงอายุ 68% มีความปรารถนาที่จะยังคงทำงานอยู่หลังเกษียณเพราะความกดดันทางเศรษฐกิจ และอยากมีงานทำหลังเกษียณตราบที่ยังมีแรง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้สูงอายุจีนที่ไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการเกษียณอายุ ยังต้องออกไปหางานทำก็มีอีกมาก ผู้สูงอายุจะหางานทำได้ยากมาก ทำให้รายได้ไม่พอกับการดำรงชีวิต ซึ่งเข้าข่าย “แก่ก่อนรวย” ก็กลายเป็นปัญหาสําคัญสําหรับผู้สูงอายุในจีนเช่นกัน
แนวคิดของคนจีนรุ่นใหม่ดูเหมือนกับจะสวนทางกับแนวทางการพัฒนาประเทศ เช่น การที่ต้องการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ต่อสู้ชีวิต แต่ความเป็นจริง คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะอยู่แบบชิลชิล สบายๆ เรื่อยๆ คนจีนรุ่นใหม่หลายคนมองว่าในเมื่อแนวคิด “การทำงานหนักอย่าง 996” ได้พรากชีวิตและเวลาของพวกเขาไป ไม่อยากเป็นวัวเป็นม้าให้ทุนนิยมอีกต่อไป จึงเลือกสิ่งที่สบายกว่าคืออยู่แบบเรื่อยๆ กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่กล้าที่จะต่อต้านเจ้านายที่เคี่ยวลากดิน ต่อต้านการหลอกล่อให้ทำงานหนัก ต่อต้านการล้างสมองจากเจ้านายและหน่วยงาน การต้องพบเจอกับการโยนความรับผิดชอบของเพื่อนร่วมงาน ทำให้หลายคนเบื่อหน่าย แต่เพราะเงินในกระเป๋าไม่เพียงพอทำให้หลายคนยังต้องทนวังวนอยู่ในความเบื่อหน่ายนี้
แนวคิด FIRE อาจจะเป็นแนวคิดที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ยาก แต่ถ้ามีแผนและการดำเนินการที่ชัดเจนก็ไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะความพอใจของแต่ละคนต่างกันและอิสระในชีวิตทางการเงินไม่ได้หมายความว่าต้องมีเงินมากมายล้นฟ้า แต่มีเงินเพียงพอกับการต้องการใช้ดำรงชีวิตของเราก็เท่านั้น จากเป้าหมาย FIRE ทำให้กลุ่มคนจีนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะประหยัด ไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น ซึ่งแนวคิดลักษณะนี้อาจจะขยายไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมใหม่ๆ ของจีนในอนาคตที่ดูเหมือนจะสวนทางกับสิ่งที่รัฐบาลจีนอยากให้เป็น