สงครามกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชันแดนมังกรภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิงผ่านมาสิบปี แต่จนถึงวันนี้ก็ยังแข็งกร้าวเฉียบขาดคงเส้นคงวา
ผู้ตกเป็นเป้าหมายที่ผู้ตรวจสอบบัญชีระดับหัวกะทิของประเทศจะเข้าตรวจสอบ “ต้องรู้สึกว่ากำลังถูกการตรวจสอบคอยติดตามเสมือนเงาตามตัวและรู้สึกว่ามีคนเฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา” ผู้นำจีนระบุ
เป็นคำกล่าวเตือนสติในการประชุมคณะกรรมาธิการตรวจเงินแผ่นดินของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Central Auditing Commission) เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ไม่เคยมีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน จนกระทั่ง “ฉิวซื่อ” (แสวงหาสัจจะ) ซึ่งเป็นวารสารชั้นนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำมาเปิดเผยเมื่อสัปดาห์นี้
สี จิ้นผิงยังเน้นย้ำในที่ประชุมว่า จำเป็นต้องมุ่งเน้นการตรวจสอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกองทุนสาธารณะ ทรัพย์สินและทรัพยากรของรัฐเป็นพิเศษ พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้ตรวจสอบบัญชีทำงานแบบรวมศูนย์และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ผู้นำวัย 70 ปีให้ความสำคัญกับการปราบปรามคอร์รัปชันมานับตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2555 และประชาชนสนับสนุนการทำสงครามนี้เต็มที่
เมื่อคราวครบรอบ10 ปีการเป็นผู้นำในปีที่แล้ว สื่อทางการจีนรายงานว่า การปราบปรามคอร์รัปชันประสบชัยชนะอย่างท่วมท้น โดยมีการสอบสวนคดีทุจริตมากถึง 4 ล้าน 3 แสน 9 หมื่นคดี และมีผู้กระทำผิดถูกลงโทษแล้วประมาณ 4 ล้าน 7 แสนคน
แต่สี จิ้นผิงมีการประเมินอย่างสุขุมรอบคอบกว่านั้นว่า ภารกิจยังอีกยาวไกลกว่าจะจบสิ้น
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนหลายคนหายหน้าหายตาไปจากสังคม รวมถึงนายฉิน กัง ซึ่งถูกปลดจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนต้องสงสัยว่าถูกจับในการสอบสวนคดีทุจริต เช่น พล.อ.หลี่ ซังฝู ถูกปลดจากตำแหน่ง รมว.กลาโหม และมีรายงานข่าวว่าเขากำลังถูกสอบสวนการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยก่อนหน้านี้ สี จิ้นผิงเพิ่งสั่งถอดนายพล 2 นาย ซึ่งบังคับบัญชากองกำลังขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของชาติ ตอกย้ำว่า ยศสูงแค่ไหนก็ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบ
การตรวจสอบบัญชีเป็นวิธีการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้กำจัดการทุจริตคอร์รัปชันอยู่แล้ว แต่สี จิ้นผิงได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการตรวจเงินแผ่นดินขึ้นมาเพื่อให้การปราบปรามทุจริตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งชาติแถลงว่า ตรวจสอบพบว่าหลายหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานศุลกากร และธนาคารกลาง มีการประพฤติมิชอบต่อวินัยทางการเงิน รวมเป็นเงินมากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน การประพฤติมิชอบ เช่น การขึ้นเงินเดือนสูงเกินจริง การนำเงินไปลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีการใช้จ่ายน้อยหรือช้าเกินไปในโครงการสำคัญๆ เป็นการแถลงภายหลังคำเตือนของผู้นำจีนหนึ่งเดือน
ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ / เดอะเทเลกราฟ