โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
เหตุรุนแรงที่ห้างสยามพารากอนที่เกิดขึ้นในเวลาบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ในโซเชียลไทยมีการรายงานและแชร์ข้อมูลกันอย่างรวดเร็ว เมื่อมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ ขณะนั้นผู้เขียนคิดประเมินสถานการณ์ไปเองว่าต้องมีชาวต่างชาติที่ได้รับลูกหลงในเหตุการณ์นี้แน่ๆ และภาวนาขอให้ไม่เป็นเช่นนั้น
ไม่ถึง 2 ชั่วโมงหลังจากเกิดเรื่องกราดยิง สื่อไทยได้ทยอยรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตหนึ่งราย! ในจีนมีการรายงานข่าวเรื่องการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวจีนช้ากว่าไทยเล็กน้อย เนื่องจากต้องรอทางสถานทูตจีนประจำประเทศไทยออกประกาศอย่างเป็นทางการก่อน
หลังจากที่ข่าวการกราดยิงในห้างดังไทยและมีชาวจีนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแพร่หลายกันไปเรื่อยๆ จนขึ้นเป็นประเด็นดังในเวยปั๋วและเว็บข่าวอื่นๆ ของจีน ชาวเน็ตจีนให้ความเห็นกันถล่มทลาย โดยความเห็นส่วนใหญ่ไปในแนวทางเดียวกันโดยสรุปคือ “บอกแล้วว่าไปเที่ยวไทยไม่ปลอดภัย อย่าไป เอาชีวิตไปทิ้งไม่คุ้ม”
ในคราวนี้กลุ่มชาวจีนอนุรักษนิยมได้ใช้โอกาสนี้ออกมาให้ความเห็นกันมากมายว่า “จีนมีที่เที่ยวตั้งเยอะแยะเที่ยวกันทั้งชาติก็ไม่หมด แถมปลอดภัยด้วย” กระแสดังกล่าวสำหรับผู้เขียนเองมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะความคิดเห็นแนวอนุรักษนิยมแบบนี้มีมาสักระยะแล้ว (ในจีนมักจะมีข่าวคนจีนถูกรังแกหรือโจมตีในต่างประเทศบ่อยๆ ทำให้ประชาชนที่ไม่เคยออกไปนอกประเทศไปเห็นสถานการณ์จริงเกิดความกลัว และมีกระแสอยู่จีนปลอดภัยที่สุดกันในโซเชียล)
ประเด็นความปลอดภัยในจีนผู้เขียนค่อนข้างเห็นด้วย เพราะตัวเองใช้ชีวิตในจีนเป็นส่วนใหญ่ มองว่าจีนมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง อาชญากรรมในจีนมีน้อยมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ในเมืองชั้นรองอื่นๆ มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีในระดับหนึ่ง เห็นได้ชัดจากชาวจีนเทาทั้งหลายทำอาชญากรรมในประเทศได้ยาก ต้องหนีเตลิดกันไปกระจุกตัวตั้งฐานกันในอาเซียน
เหตุการณ์ที่พารากอนผู้เขียนมองว่าในมุมของชาวจีนไปเพิ่มความน่าเชื่อถือ “ท่องเที่ยวไทยไม่ปลอดภัย” ให้มากขึ้นไปอีก อีกทั้งมีการวิจารณ์เหตุจูงใจก่อเหตุของเด็กอายุ 14 ปี สร้างความประหลาดใจให้ชาวจีนจำนวนมาก มีชาวเน็ตจีนบางส่วนพุ่งเป้าไปที่หมวกที่เด็กผู้ก่อเหตุใส่ที่มีสัญลักษณ์ธงชาติอเมริกาอยู่ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเด็กคนนี้ถูกทางสหรัฐฯ ส่งมาให้ก่อเหตุหรือไม่! หรือว่ามีหน่วยงานต่างประเทศอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุหรือไม่ และเจาะจงจะทำร้ายชาวจีนใช่หรือไม่! เป็นต้น
การตั้งข้อสังเกตในลักษณะนี้ถือเป็นความเสี่ยงของทางการไทยเพราะอาจจะต้องสอบสวนและเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน ให้ทางการจีนและชาวเน็ตจีนคลายความสงสัย เพราะอย่างที่ทุกท่านทราบดีว่าปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่เปราะบางและอ่อนไหว หากว่าชาวจีนมีความเคลือบแคลงสงสัยนี้อยู่ แล้วไทยตอบปัญหาได้ไม่เคลียร์อาจจะนำมาซึ่งปัญหาความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของจีนต่อไทยในภายหลังได้
เหตุการณ์กราดยิงพารากอนดันมาเกิดในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลท่องเที่ยวของคนจีนพอดิบพอดี และมาเกิดในช่วงที่ไทยเพิ่งเริ่มให้ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีน ความหวังที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับเข้ามาเที่ยว กลับมาจับจ่ายใช้สอยเหมือนต้องเหยียบเบรกกลางคัน แต่ผู้เขียนเชื่อว่ายังมีคนจีนจำนวนหนึ่งที่ยังกล้าจะสวนกระแสไปท่องเที่ยวไทยในช่วงฟรีวีซ่านี้ ใช้โอกาสที่เพื่อนร่วมชาติออกไปเที่ยวกันน้อยๆ ราคาตั๋วก็ถูกลง ค่าที่พักก็อาจจะได้ราคาพิเศษอีกด้วย เพราะในกระแสโซเชียลจีนมีคนกลุ่มน้อยจำนวนหนึ่งมองว่าเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้มีอัตราเกิดขึ้นน้อยมาก และความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตก็มีอยู่ทุกที่ คนจะถึงคราวเคราะห์ก็ไปเจอเหตุการณ์รุนแรงได้ทั้งนั้น และยังมีกลุ่มที่ยังเชื่อมั่นการท่องเที่ยวไทย บ้างก็ว่าไปมาแล้วหลายครั้ง บ้างก็ว่าเพิ่งจะไปเที่ยวกลับมาก็ปลอดภัยดี ไม่ต้องกังวล เที่ยวสนุกสุขสันต์ดี
มาต่อกันในประเด็นของการเยียวยาผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ข่าวจีนออกไปก่อนว่าทางรัฐบาลไทยให้เงินเยียวยาแก่ผู้เสียชีวิต 1 ล้านบาท หรือประมาณ 2 แสนหยวน โซเชียลจีนเลยคอมเมนต์กันไปต่อว่า “ชีวิตมีค่าแค่นี้เองหรือ?!” บ้างก็มีการบูลลี่ประเทศไทยว่าเป็นประเทศยากจนคงเยียวยาให้ได้ไม่เยอะอย่าไปหวังมาก เป็นต้น ต่อมามีข่าวว่าทางพารากอนออกเงินสมทบเพิ่มเติมเท่ากับผู้เสียชีวิตจะได้เงินเยียวยาเป็นเงินหยวนประมาณ 1 ล้านกว่าหยวน ซึ่งหากมองในมุมของครอบครัวผู้สูญเสียไม่ใช่เงินที่เยอะเลย เพราะผู้เสียชีวิตยังมีลูกฝาแฝดอีก 2 คน และตามรายงานข่าวยังเป็นคนปักกิ่งอีก (คนปักกิ่งถือเป็นกลุ่มคนมีฐานะในจีน)
เหตุการณ์นี้เสมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มชาวจีนที่มีความกังวลการท่องเที่ยวในประเทศแถบอาเซียนอยู่แล้วทำให้ยิ่งกลัวขึ้นไปอีก หลังเหตุการณ์พารากอนทำให้ชาวเน็ตจีนเริ่มไปขุดคุ้ยและเปิดโปงอัตราการก่ออาชญากรรมในไทย การถือครองปืนของคนไทยที่มีอัตราสูง ยาเสพติดแพร่ระบาดและกัญชาเสรี เป็นต้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นข่าวด้านลบทั้งสิ้น พวกเราคนไทยทราบกันดีอยู่ว่าพวกเราอยู่กับสิ่งพวกนี้มานานจนชินชา เป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทยและรอเวลาแก้ไข โดยผู้เขียนเองหวังว่าสักวันหนึ่งไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางนายกรัฐมนตรีเศรษฐา รีบโทรศัพท์และสื่อสารกับสถานทูตจีนในไทยทันทีและแสดงความรับผิดชอบอย่างรวดเร็ว เพราะรัฐบาลไทยเองรู้ดีอยู่ว่านาทีนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ดูมีความหวังที่สุดคือเรื่องการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ของประเทศไทย หลังเหตุการณ์พารากอนนี้ไทยอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งที่จะเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนกลับมา เพราะเท่าที่ผู้เขียนสังเกตผู้เขียนคิดว่า ชาวจีนค่อนข้างอ่อนไหวกับข่าวความไม่ปลอดภัยในต่างประเทศ ทัศนคติและมาตรฐานการตัดสินใจในการท่องเที่ยวต่างประเทศไม่ค่อยเหมือนกับชาวตะวันตกในอเมริกาหรือทางยุโรป ชาวจีนจะคิดเยอะกว่า กังวลเยอะกว่ามีปัจจัยด้าน “Political risk” เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจท่องเที่ยวด้วย อีกปัจจัยสำคัญหนึ่งคือ “สื่อจีน” ที่เป็นสื่อหลักสื่อเดียวในการสื่อสารกับประชาชนจีนควบคุมโดยรัฐบาลจีน ดังนั้น ทางการไทยต้องทำให้ทางการจีนเชื่อมั่นก่อน ต่อมาประชาชนจึงเชื่อมั่น ความน่าเชื่อวางใจจะกลับมา สุดท้ายนี้คงได้แต่บอกว่า สู้กันต่อไปประเทศไทย!