กลุ่มสื่อชั้นนำของจีนเผยแพร่เรื่องราวของกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เล่านาทีระทึก “รอดชีวิตจากห้วงมรณะ”
บ่ายวันที่ 3 ต.ค. เกิดเหตุยิงกราดที่ห้างสยามพารากอน มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 3 คน ในจำนวนนี้เป็นพลเมืองจีนเสียชีวิต 1 คน ส่วนพลเมืองจีนอีก 1 คน บาดเจ็บ นายกรัฐมนตรีไทย เศรษฐา ทวีสิน เตรียมเข้าพบเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเพื่อขอโทษเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของพลเมืองจีน
สี่นักท่องเที่ยวจีนแจงยิบเหตุการณ์ “รอดชีวิตจากห้วงมรณะอย่างหวุดหวิด”
“เสี่ยวหง” (นามสมมติ) เล่าว่า ตอนเกิดเหตุ เธออยู่ในห้องลองเสื้อผ้าที่ชั้น 2 ของห้าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น มองไปข้างนอกเห็นคนวิ่งอลหม่าน เธอตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในห้องลองเสื้อผ้าที่ดูปลอดภัยกว่า นั่งคุกเข่าอยู่ในห้องทดลองเสื้อไม่กล้าส่งเสียงใดออกมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนับสิบนัดอย่างชัดเจน ทั้งได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินผ่านไป
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังไม่หยุด ต่อมามีการประกาศเป็นภาษาไทยที่เธอฟังไม่รู้เรื่องเลยสักคำ “ตอนแรกเราคิดว่าเกิดเหตุจับตัวประกัน ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะเดินค้นหาคนในห้องลองเสื้อผ้าทีละห้องๆ จึงเอาของมีค่าและเงินทั้งหมดออกมา ตอนนั้นกลัวจนแทบไม่กล้าหายใจ เอามือปิดปากสวนมนต์ภาวนาอย่าให้คนร้ายมาพบพวกเรา”
ราว 5 โมง 40 นาที พนักงานร้านที่ซ่อนตัวอยู่ในโกดังเก็บเสื้อผ้าในร้านก็เดินมาเปิดม่านห้องลองเสื้อผ้าที่เสี่ยวหงหลบอยู่ บอกว่า “คนร้ายถูกจับแล้ว” ตอนแรกเสี่ยวหงไม่แน่ใจว่าจับคนร้ายได้จริงหรือ เมื่อดูภาพในเฟซบุ๊กชัวร์แล้วจึงเดินออกไป
เมื่อเสี่ยวหงเห็นรูปของคนร้ายบนเฟซบุ๊ก ก็ถึงกับอุทาน “โชคดีอะไรอย่างนี้” ตนได้เดินสวนแทบกระทบไหล่กับมือปืนตรงหน้าห้องน้ำ ในวันนั้นคนร้ายเดินอยู่แถวหน้าห้องน้ำชั้น M ตอนราว 15.42 น. และเริ่มยิงกราดตอน 16.10 น. ตรงบริเวณห้องน้ำนั้น เสี่ยวหงเดินผ่านห้องน้ำชั้น M ตอนราวบ่ายสี่โมง จากนั้นก็ไปที่ร้านขายเสื้อผ้าชั้นสอง
“รอดชีวิตจากจุดเกิดเหตุมรณะมาได้แท้ๆ รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้ตัวมากๆ”
“เสี่ยวอี่ว์” (นามสมมติ) เล่าว่า ราวบ่าย 4 โมง เธอเพิ่งสั่งอาหารเสร็จ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนวิ่งโกลาหลเผ่นหนีกันอย่างสุดชีวิต ใบหน้าแต่ละคนตื่นตระหนก จากนั้นเธอก็ออกวิ่งตามไปด้วยโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่วิ่งสิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือจะเจอกับเหตุร้าย จนกระทั่งวิ่งออกมานอกห้างเห็นตำรวจสลายฝูงชนและดูแลความเรียบร้อยจึงค่อยโล่งใจ
“เจอร์รี่” ตอนราวบ่าย 4 โมง เจอร์รี่กำลังสั่งอาหารอยู่เช่นกัน ขณะรออาหารก็เห็นฝูงชนวิ่งกันอลหม่าน บางคนคลานไปตามพื้น สิบวินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
“กลุ่มคนที่ดูหนุ่มสาวหน่อยก้มตัววิ่งออกไป แต่กลุ่มฝรั่งสูงวัย ดูมีเซนส์ในการป้องกันตัวจากภัยอันตรายสูง นอนคว่ำแนบตัวกับพื้น สองมือคุ้มศีรษะค่อยๆ คลานไปทีละคืบๆ พวกเขาอายุมากคงเจออะไรมามาก พวกเราก็เลยเลียนแบบพวกเขาคลานไปข้างหน้า” เจอร์รี่ เล่า
“กลุ่มคนออกมาข้างนอกห้างด้วยใบหน้าตื่นตระหนกตกใจ ไม่รู้ว่ามีคนร้ายกี่คน” เจอร์รี่เล่า
นักท่องเที่ยวจีนอีกคนชื่อ “เป้ยล่า” เล่าว่า ก่อนหน้าเธอมาเที่ยวตอนปี 2018 ครั้งนี้มากับน้องสาวที่อยากลิ้มรสอาหารไทยอร่อยๆ พวกเธอจองโปรแกรมเที่ยวตั้งแต่เดือน ก.ย. หลังไทยประกาศมาตรการฟรีวีซ่า เธอรู้สึกดีใจมากว่า “ทั้งสะดวกและประหยัดเงิน” สองพี่น้องวางแผนเอากระเป๋าสัมภาระเดินทางมาฝากที่ห้างตอนบ่ายวันที่ 3 ต.ค. และไปเดินชอปปิ้งสักชั่วโมงสองชั่วโมง จากนั้นก็ค่อยไปขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอเหตุร้าย
เป้ยล่า เล่าว่าก่อนเดินทางมาไทยเที่ยวนี้ เธอรู้สึกดีมาก แต่ก็รู้สึกกังวลนิดหน่อยเรื่อง “การเปิดเสรีกัญชา” ตามตรอกซอยใหญ่น้อยต่างมีแผงขายกัญชากันโจ่งแจ้ง นอกจากนั้นแล้วเธอและน้องสาวชอบอาหารไทยมาก “ก่อนหน้าการเดินทางมาไทยแม้มีปัญหาบ้าง พวกเราก็รับได้ จนได้มาเจอกับเหตุการณ์นี้ ฉันคิดว่าจะไม่กลับไปอีกแล้ว เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย”
เสี่ยวอี่ว์ และเสี่ยวหงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่คิดมาไทยอีกแล้ว”
เสี่ยวอี่ว์บอกว่า “ตอนเดินทางมาไทยครั้งนี้มีความสุขมาก แต่เมื่อมาเจอเหตุยิงกราดด้วยตัวเองเช่นนี้ ถ้าจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศอีกอาจจะไม่เลือกมาไทยอีกแล้ว”
เสี่ยวหง พูดว่า “ห้างใหญ่ใจกลางเมืองยังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ต่อไปจะไม่มาอีกแล้ว”
ขณะนี้ เจอร์รี่ เสี่ยวหง และเป้ยล่า ได้เดินทางกลับประเทศโดยสวัสดิภาพแล้ว ส่วนเสี่ยวอี่ว์ยังอยู่ที่โรงแรมและไม่กล้าออกจากห้องเลย
สื่อจีนชั้นนำ “ไฉจิง” รายงานถึงสถานการณ์วงในของการท่องเที่ยวขาออกจีนหลังเกิดเหตุการณ์ยิงกราดได้วันสองวัน ด้วยขณะนี้เป็นช่วงหยุดยาวของจีน จึงยากที่จะหาข้อมูลที่ชัดเจนมาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของตลาดท่องเที่ยวไทย แต่ก็สามารถคาดเก็งได้ว่า ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวต่อไปกลุ่มนักท่องเที่ยวที่วางแผนมาเที่ยวไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะน้อยลง