ข่าวครึกโครมบริติชมิวเซียมถูกขโมยโบราณวัตถุนับพันชิ้นเพิ่งผ่านไปหยกๆ มาเกิดเหตุพิพิธภัณฑ์ในเยอรมนีถูกฉกเครื่องลายครามโบราณจากจีนอีก ผู้เชี่ยวชาญแดนมังกรถึงกับอึ้ง
เครื่องลายคราม 9 ชิ้นหายไปจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียตะวันออกในเมืองโคโลญ เมื่อสัปดาห์ก่อน รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านยูโร (ราว 38 ล้าน 9 หมื่นกว่าบาท) ส่วนใหญ่เป็นแจกัน จาน และชามสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911)
มีแจกันสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงอย่างน้อย 3 ใบ ผลิตจากจิ่งเต๋อเจิ้น เมืองศูนย์กลางเครื่องเคลือบดินเผาเก่าแก่มานาน 1 พันปีและเป็นผู้ผลิตเครื่องเคลือบดินเผาดีที่สุดของจีนในสมัยราชวงศ์ชิง ตั้งอยู่ในมณฑลเจียงซี ทางภาคตะวันออก
หลี่ ชิวจู ผู้เชี่ยวชาญโบราณวัตถุสมัยราชวงศ์ชิงได้แต่หวังว่า สิ่งของที่ถูกขโมยไปจะไม่แตกหักเสียหาย เพราะแจกันแต่ละใบอาจเป็นแจกันที่เหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายในรุ่นที่ผลิต อีกทั้งหวั่นใจว่า อาจมีการลอกเลียนแบบทำแจกันของเก๊ขึ้นมา
ตำรวจแดนเบียร์สอบสวนพบว่า คนร้ายมีด้วยกัน 2 คน งัดหน้าต่างเข้ามาในยามวิกาล เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ได้ยินเสียงดังกลางดึก แต่ก็สายไปเสียแล้ว
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ตกใจจนพูดไม่ออกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับนายเหยา อี้ว์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมของจีน
เขาบอกว่า รู้สึกมึนงงมากกว่าโกรธ ผิดหวังกับความโหลยโท่ยของสถาบันวัฒนธรรมเอเชียตะวันออก ซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดในยุโรปแห่งนี้ ที่บริหารจัดการความปลอดภัยหละหลวมเฉื่อยชา ต่อไปนี้จีนจะให้ความไว้วางใจพิพิธภัณฑ์ชาติตะวันตกได้อย่างไรกัน แต่พอเวลามีการเสนอให้ส่งคืนโบราณวัตถุ พิพิธภัณฑ์เหล่านี้มักจะถามชาติเจ้าของโบราณวัตถุว่า มีปัญญาดูแลได้ดีกว่ารึไม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเหมือนการตบหน้าพิพิธภัณฑ์ฉาดใหญ่
ข่าวนี้กลายเป็นประเด็นมาแรงบนแพลตฟอร์มซีนา เวยปั๋ว มียอดเกือบ 40 ล้านวิว ชาวเน็ตสุดผิดหวังกับพิพิธภัณฑ์ในยุโรป บางคนสงสัยว่า เชื่อถือเรื่องการขโมยนี้ได้รึไม่ เป็นการคบคิดวางแผนรึเปล่าเพื่อปกปิดเจตนาอันแท้จริงของพิพิธภัณฑ์ชาติตะวันตก ที่ไม่อยากคืนโบราณวัตถุให้แก่จีน ชาวเน็ตคนหนึ่งบอกว่า รู้สึกเอะใจ หลังจากเพิ่งเกิดเหตุโจรกรรมที่บริติชมิวเซียมของอังกฤษเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
บริติชมิวเซียมถูกฉกโบราณวัตถุไปกว่า 2 พันชิ้น ซึ่งเป็นของจีนจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เกิดปรากฏการณ์ทวงคืนสมบัติของชาติโดยหลายประเทศ เช่น จีน และอียิปต์ เพราะกลัวว่าอยู่ที่นั่นแล้วจะไม่ปลอดภัย
ที่มา : โกลบอลไทมส์